diff --git a/data/2024/09/17/Government News _1_b7c60561-367b-4bbd-983e-f029544bd02d.txt b/data/2024/09/17/Government News _1_b7c60561-367b-4bbd-983e-f029544bd02d.txt new file mode 100644 index 00000000..35df91ed --- /dev/null +++ b/data/2024/09/17/Government News _1_b7c60561-367b-4bbd-983e-f029544bd02d.txt @@ -0,0 +1,11 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Cabinet approves implementation of Digital Wallet scheme + + +วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 +Cabinet approves implementation of Digital Wallet scheme +Cabinet approves implementation of Digital Wallet scheme +September 17, 2024, at 1150hrs, at the Command Building I, Government House, following the weekly cabinet meeting, Prime Minister Paetongtarn Shinawatra disclosed that the cabinet has made an approval to Ministry of Finance’s economic stimulus plan (the Digital Wallet scheme) which will hand out 10,000 Baht/person to 12.4 million state welfare cardholders and 2.15 million persons with disabilities. The payment, which will be made in cash, will start from September 25, 2024 onwards. +The Prime Minister affirmed that the plan will strictly be implemented according to the law, and that all concerned agencies, i.e., Office of Council of State, the Bank of Thailand, and Office of National Economic and Social Development Council, have approved the plan in principle. +This is the 1st phase of the Digital Wallet scheme which is aimed to boost the economy through domestic spending of the vulnerable groups who are the most likely to actually spend according to Ministry of Finance’s statistics. The Prime Minister added that the Ministry would later reveal the detail of the scheme. + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88084 \ No newline at end of file diff --git a/data/2024/09/17/Government News _2_a8d35f52-72cb-46e4-b631-10eab942feb8.txt b/data/2024/09/17/Government News _2_a8d35f52-72cb-46e4-b631-10eab942feb8.txt new file mode 100644 index 00000000..358826f4 --- /dev/null +++ b/data/2024/09/17/Government News _2_a8d35f52-72cb-46e4-b631-10eab942feb8.txt @@ -0,0 +1,12 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM: Amendment of Constitution on sections related to ethical standards is parliamentary matter + + +วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 +17/09/2567 +พิมพ์ +PM: Amendment of Constitution on sections related to ethical standards is parliamentary matter +PM: Amendment of Constitution on sections related to ethical standards is parliamentary matter +September 17, 2024, at 1150hrs, at the Command Building I, Government House, following the weekly cabinet meeting, Prime Minister Paetongtarn Shinawatra stated to the press about an amendment of the Constitution on sections related to ethical standards of the politicians that law amendment is the matter discussed at the Parliament. +With regard to the annual military reshuffle, the Prime Minister has not been reported or signed any document. Deputy Prime Minister and Minister of Defense Phumtham Wechayachai is looking into this matter. + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88085 \ No newline at end of file diff --git "a/data/2024/09/17/\340\270\202\340\271\210\340\270\262\340\270\247\340\270\231\340\270\262\340\270\242\340\270\201\340\270\243\340\270\261\340\270\220\340\270\241\340\270\231\340\270\225\340\270\243\340\270\265 _1_76c39c3e-f541-4703-b2c7-3e571a1e54bd.txt" "b/data/2024/09/17/\340\270\202\340\271\210\340\270\262\340\270\247\340\270\231\340\270\262\340\270\242\340\270\201\340\270\243\340\270\261\340\270\220\340\270\241\340\270\231\340\270\225\340\270\243\340\270\265 _1_76c39c3e-f541-4703-b2c7-3e571a1e54bd.txt" new file mode 100644 index 00000000..87da676c --- /dev/null +++ "b/data/2024/09/17/\340\270\202\340\271\210\340\270\262\340\270\247\340\270\231\340\270\262\340\270\242\340\270\201\340\270\243\340\270\261\340\270\220\340\270\241\340\270\231\340\270\225\340\270\243\340\270\265 _1_76c39c3e-f541-4703-b2c7-3e571a1e54bd.txt" @@ -0,0 +1,12 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกฯ เผย ครม. อนุมัติโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 67 แจกเงินหมื่น ให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ - บัตรคนพิการ ยันถูกกฎหมาย ส่วนรายละเอียดเชิงลึก ให้ ก.คลัง แถลง + + +วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 +17/09/2567 +พิมพ์ +​นายกฯ เผย ครม. อนุมัติโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 67 แจกเงินหมื่น ให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ - บัตรคนพิการ ยันถูกกฎหมาย ส่วนรายละเอียดเชิงลึก ให้ ก.คลัง แถลง +​นายกฯ เผย ครม. อนุมัติโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 67 แจกเงินหมื่น ให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ - บัตรคนพิการ ยันถูกกฎหมาย ส่วนรายละเอียดเชิงลึก ให้ ก.คลัง แถลง +วันนี้ (17 กันยายน 2567) เวลา  11.50 น. ณ บริเวณโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการโดยจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมายคือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวนไม่เกิน 12.4 ล้านราย และคนพิการจำนวนไม่เกิน 2.15 ล้านราย เป็นจำนวน 10,000 บาท/คน จะเริ่มทยอยจ่ายเงินตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน พ.ศ 2567 เป็นต้นไป โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสํานักงานกฤษฎีกา ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้เห็นชอบในหลักการและเป็นไปตามกฎหมายทุกประการ +นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ส่วนรายละเอียดเชิงลึกของโครงการดิจิทัล วอลเล็ต กระทรวงการคลังจะเป็นผู้แถลง ซึ่งจะแจกเป็นเงินสด แต่เราจะทำเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจในเฟสแรกก่อน ส่วนเฟสต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้แถลง และจากตัวเลขที่กระทรวงการคลังหามา กลุ่มเปราะบางกลุ่มแรก จะมีการใช้จ่ายในเปอร์เซ็นต์ที่สูงมาก ดังนั้น เชื่อว่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแน่นอนในเฟสแรก + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88078 \ No newline at end of file diff --git "a/data/2024/09/17/\340\270\202\340\271\210\340\270\262\340\270\247\340\270\231\340\270\262\340\270\242\340\270\201\340\270\243\340\270\261\340\270\220\340\270\241\340\270\231\340\270\225\340\270\243\340\270\265 _2_036316bb-78bd-4404-ac8f-4b972eb1f684.txt" "b/data/2024/09/17/\340\270\202\340\271\210\340\270\262\340\270\247\340\270\231\340\270\262\340\270\242\340\270\201\340\270\243\340\270\261\340\270\220\340\270\241\340\270\231\340\270\225\340\270\243\340\270\265 _2_036316bb-78bd-4404-ac8f-4b972eb1f684.txt" new file mode 100644 index 00000000..b82516ea --- /dev/null +++ "b/data/2024/09/17/\340\270\202\340\271\210\340\270\262\340\270\247\340\270\231\340\270\262\340\270\242\340\270\201\340\270\243\340\270\261\340\270\220\340\270\241\340\270\231\340\270\225\340\270\243\340\270\265 _2_036316bb-78bd-4404-ac8f-4b972eb1f684.txt" @@ -0,0 +1,13 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกฯ เผย ครม.อนุมัติงบกลาง จำนวน 3,045 ล้านบาท ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝนปี 2567 + + +วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 +17/09/2567 +พิมพ์ +​นายกฯ เผย ครม.อนุมัติงบกลาง จำนวน 3,045 ล้านบาท ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝนปี 2567 +​นายกฯ เผย ครม.อนุมัติงบกลาง จำนวน 3,045 ล้านบาท ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝนปี 2567 +วันนี้ (17 กันยายน 2567) เวลา  11.50 น. ณ บริเวณโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)เห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอหลักเกณฑ์ การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝนปี 2567 และขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำงบประจำปีงบประมาณประจำปี 2567 งบกลาง เป็นจำนวน 3,045 ล้านบาท โดยให้กระทรวงมหาดไทยเร่งขั้นตอนและกระบวนการตรวจสอบความเหมาะสมกับสถานการณ์และลดขั้นตอนเอกสารที่ต้องยื่นให้การช่วยเหลือต่าง ๆ ให้การเข้าถึงประชาชนอย่างรวดเร็ว +โดยได้สั่งการให้ทุกส่วนราชการเร่งพิจารณาถึงมาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยเพิ่มเติมจากกรณีปกติที่ดำเนินการอยู่แล้ว หากมีเรื่องใดที่มีความจำเป็นเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้เร่งดำเนินการให้การช่วยเหลือเยียวยาประชาชนให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว รวมถึงระบบการแจ้งเตือนภัยให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น +ส่วนกรอบระยะเวลาที่จะจ่ายเงินเยียวยาได้เร็วที่สุดจะเป็นเมื่อไหร่นั้น นายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า เมื่อวานรัฐบาลได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม หรือ ศปช. ซึ่งจะมีการเรียกประชุมในวันพรุ่งนี้ (18 ก.ย.67) ก็คาดว่าจะมีรายงานออกมาจากนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ศปช. ขณะที่การพูดคุยกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อหารือถึงมาตรการการระบายน้ำร่วมกันนั้น ทางกระทรวงการต่างประเทศ กำลังจะมีการพูดคุยกับประเทศต่าง ๆ ในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง เช่น ประเทศเมียนมา เพื่อหาทางออกร่วมกัน ซึ่งจะต้องมีการพูดคุยกันอย่างจริงจัง เพราะเป็นปัญหาที่พบเจอเป็นระยะเวลายาวนาน ซึ่งประเทศไทยได้เป็นประธานในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขงด้วย คิดว่าไทม์ไลน์ก็สามารถเริ่มพูดคุยได้ทันที + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88079 \ No newline at end of file diff --git "a/data/2024/09/17/\340\270\202\340\271\210\340\270\262\340\270\247\340\270\231\340\270\262\340\270\242\340\270\201\340\270\243\340\270\261\340\270\220\340\270\241\340\270\231\340\270\225\340\270\243\340\270\265 _3_e3185af1-93df-4ce6-abb6-8b06f4783a5a.txt" "b/data/2024/09/17/\340\270\202\340\271\210\340\270\262\340\270\247\340\270\231\340\270\262\340\270\242\340\270\201\340\270\243\340\270\261\340\270\220\340\270\241\340\270\231\340\270\225\340\270\243\340\270\265 _3_e3185af1-93df-4ce6-abb6-8b06f4783a5a.txt" new file mode 100644 index 00000000..97f2dea6 --- /dev/null +++ "b/data/2024/09/17/\340\270\202\340\271\210\340\270\262\340\270\247\340\270\231\340\270\262\340\270\242\340\270\201\340\270\243\340\270\261\340\270\220\340\270\241\340\270\231\340\270\225\340\270\243\340\270\265 _3_e3185af1-93df-4ce6-abb6-8b06f4783a5a.txt" @@ -0,0 +1,12 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกฯ ระบุประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญรายมาตราเกี่ยวกับจริยธรรมนักการเมือง ต้องพูดคุยหารือในสภา เผยยังไม่เซ็นโผทหาร มอบ “ภูมิธรรม” รมว.กห. พิจารณา + + +วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 +17/09/2567 +พิมพ์ +​นายกฯ ระบุประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญรายมาตราเกี่ยวกับจริยธรรมนักการเมือง ต้องพูดคุยหารือในสภา เผยยังไม่เซ็นโผทหาร มอบ “ภูมิธรรม” รมว.กห. พิจารณา +​นายกฯ ระบุประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญรายมาตราเกี่ยวกับจริยธรรมนักการเมือง ต้องพูดคุยหารือในสภา เผยยังไม่เซ็นโผทหาร มอบ “ภูมิธรรม” รมว.กห. พิจารณา +วันนี้ (17 กันยายน 2567) เวลา  11.50 น. ณ บริเวณโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเป็นประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญรายมาตราเกี่ยวกับจริยธรรมนักการเมืองว่า การแก้กฎหมายเพื่อนักการเมืองโดยเฉพาะ เป็นเรื่องในรัฐสภา ที่ต้องพูดคุยกันในรัฐสภา ก็เป็นเรื่องของที่ต้องพูดคุยกันทั้งหมดดีกว่า +ส่วนบัญชีแต่งตั้งนายทหารระดับสูงของทุกเหล่าทัพ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โยนเรื่องนี้ให้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมดูก่อน ส่วนตนเองยังไม่ได้เซ็นอะไร + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88080 \ No newline at end of file diff --git "a/data/2024/09/17/\340\270\202\340\271\210\340\270\262\340\270\247\340\270\231\340\270\262\340\270\242\340\270\201\340\270\243\340\270\261\340\270\220\340\270\241\340\270\231\340\270\225\340\270\243\340\270\265 _4_97410707-7871-4e70-b4c3-bae7896bbfea.txt" "b/data/2024/09/17/\340\270\202\340\271\210\340\270\262\340\270\247\340\270\231\340\270\262\340\270\242\340\270\201\340\270\243\340\270\261\340\270\220\340\270\241\340\270\231\340\270\225\340\270\243\340\270\265 _4_97410707-7871-4e70-b4c3-bae7896bbfea.txt" new file mode 100644 index 00000000..17d12c8d --- /dev/null +++ "b/data/2024/09/17/\340\270\202\340\271\210\340\270\262\340\270\247\340\270\231\340\270\262\340\270\242\340\270\201\340\270\243\340\270\261\340\270\220\340\270\241\340\270\231\340\270\225\340\270\243\340\270\265 _4_97410707-7871-4e70-b4c3-bae7896bbfea.txt" @@ -0,0 +1,19 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชื่นชมผลการศึกษา “วปอ. รุ่นที่ 66 - วสท. รุ่นที่ 65 - วทบ. รุ่นที่ 69 - วทร. รุ่นที่ 56 - วทอ. รุ่นที่ 58” เป็นกรอบการพัฒนาประเทศที่สำคัญ + + +วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 +17/09/2567 +พิมพ์ +นายกรัฐมนตรีชื่นชมผลการศึกษา “วปอ. รุ่นที่ 66 - วสท. รุ่นที่ 65 - วทบ. รุ่นที่ 69 - วทร. รุ่นที่ 56 - วทอ. รุ่นที่ 58” เป็นกรอบการพัฒนาประเทศที่สำคัญ +นายกรัฐมนตรีชื่นชมผลการศึกษา “วปอ. รุ่นที่ 66 - วสท. รุ่นที่ 65 - วทบ. รุ่นที่ 69 - วทร. รุ่นที่ 56 - วทอ. รุ่นที่ 58” เป็นกรอบการพัฒนาประเทศที่สำคัญ พร้อมเชิญชวนทุกฝ่ายทำให้คนไทยทุกคน กล้ามีความหวังและภูมิใจ +วันนี้ (17 ก.ย. 67) เวลา 14.00 น. ณ อาคารอเนกประสงค์ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ (สปท.) ถนนวิภาวดีรังสิต เขตดินแดง กรุงเทพฯ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย  นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายชูศักดิ์  ศิรินิล  รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ ผู้อํานวยการวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ผู้บริหาร คณาจารย์ นักศึกษา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมรับฟังการแถลงผลการศึกษาเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 66 รวมทั้ง วิทยาลัยเสนาธิการทหาร (วสท.) รุ่นที่ 65 วิทยาลัยการทัพบก (วทบ.) รุ่นที่ 69 วิทยาลัยการทัพเรือ (วทร.) รุ่นที่ 56 และวิทยาลัยการทัพอากาศ (วทอ.) รุ่นที่ 58 ครั้งนี้ด้วย +สำหรับการแถลงผลการศึกษาเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ฯ ในครั้งนี้ ถือเป็นการเสนอแนะยุทธศาสตร์ระดับนโยบายที่เป็นประโยชน์แก่รัฐบาล ในการประกอบการตัดสินใจเรื่องสำคัญ ที่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญตามแนวคิดยุทธศาสตร์ “THAILAND NEXT : เปลี่ยนใหญ่ประเทศไทย” ซึ่งประกอบด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญ อาทิ การซ่อมฐานราก การดูแลรักษา ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม พัฒนาเศรษฐกิจสุขภาพ (Wellbeing Economy) ผลัดใบเศรษฐกิจให้เป็นอุตสาหกรรม 5.0 โดยใช้นวัตกรรมเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และมีปัญญาประดิษฐ์ เป็นหัวใจในการทำงาน (Industry 5.0 &AI) +ภายหลังรับฟังการแถลงผลการศึกษาของนักศึกษาฯ  นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันนี้ ได้ฟังจากรายงานจากทุกคน ตรงกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภาไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว การเปลี่ยนความท้าทายในทุกวันนี้ให้เป็นโอกาส เป็นประโยชน์มาก +นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจาก The Great Disruption จากโค้ดดิ้งมาเป็น AI ที่สำคัญมากขึ้น ต้องเตรียมความพร้อมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในทุก ๆ วัน  ซึ่งข้อเสนอที่ศึกษาวิทยาลัยรุ่น 66 นำเสนอทั้ง 12 จุดเปลี่ยนแปลง ใน 4 มิติ คือการซ่อมรากฐานเพื่อการลงทุน การยกระดับความเป็นอยู่ พัฒนาคุณภาพชีวิต พัฒนาระบบน้ำท่วมน้ำแล้งทั้งประเทศ รวมถึงประสานพลังจากภาคเอกชนเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ  ต้องใช้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้ประโยชน์เกิดขึ้นกับประชาชน +ประเด็นการผลักดันเศรษฐกิจ เพื่อสร้างเศรษฐกิจอยู่ดีมีสุข โดยใช้เทคโนโลยี AI พัฒนาอุตสาหกรรม ผ่านนโยบาย Open Thailand นำองค์กรความรู้มาประยุกต์ให้ใช้ในการพัฒนาประเทศ วางรากฐานของประเทศเพื่อเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจและรับมือกับปัญหาโลกไปพร้อม ๆ กัน   รัฐบาลจะสนับสนุนให้เกิดการลงทุนที่เพิ่มขึ้นให้ได้ โดยตั้งแต่นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ได้หารือกับประเทศต่างๆ เพื่อเชิญชวนนักลงทุนเข้ามาลงทุนและพัฒนาเศรษฐกิจไปด้วยกัน +สำหรับการพัฒนาระบบของราชการเน้นลดขนาดและลดขั้นตอน สนับสนุนการใช้  One Stop Service เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงระบบบริการของภาครัฐได้อย่างเร็วและสะดวก เช่นเดียวกับการจัดตั้ง ศปช. เพื่อเป็นศูนย์ประสานงานในเรื่องน้ำท่วม และในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ ยังได้มีการหารือเรื่องการเยียวยาให้กับประชาชน +รัฐบาลพร้อมส่งเสริมกองทัพรองรับความท้าทายพัฒนาสู่การเป็นกองทัพที่ทันสมัยเข้าถึงเทคโนโลยี ผลักดันให้เกิดอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ซึ่งนโยบายเร่งด่วนของนักศึกษา วปอ. รุ่น 66 ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมากในการทำงานของรัฐบาลต่อไปในอนาคต และ “One Team ทัพไทย” จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพในการป้องกันประเทศและช่วยเหลือประชาชน และทำให้กองทัพเป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างแท้จริงลดช่องว่างระหว่างกัน เพื่อการประสานงานแล้วก็การเป็นอยู่ต่อไปในอนาคต +นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลพยายามเร่งทำนโยบายทุกอย่างให้สำเร็จ เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน ซึ่งรัฐบาลมีความเข้มแข็ง +“ในฐานะนายกรัฐมนตรีขอโอกาสกับทุก ๆ คน ประสานพลังกับทุก ๆ คน ทั้งข้าราชการ เอกชน นักการเมือง ให้ช่วยกันพัฒนาประเทศ ร่วมมือกันทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ถ้ามีคำแนะนำซึ่งกันและกันก็เป็นเรื่องที่ดีมาก รัฐบาลพร้อมรับฟังและจะนำไปปรับใช้ ร่วมกัน ทำให้ประเทศของเราเป็นประเทศที่คนไทยทุกคนกล้ามีความหวัง ทำให้ทุกคนภูมิใจในประเทศไทย” นายกรัฐมนตรีกล่าว + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88098 \ No newline at end of file diff --git "a/data/2024/09/17/\340\270\202\340\271\210\340\270\262\340\270\247\340\270\243\340\270\255\340\270\207 \340\270\231\340\270\243\340\270\241 \340\270\243\340\270\241\340\270\225\340\270\231\340\270\243 _1_882f0ed1-6588-4dd8-8611-522274f44273.txt" "b/data/2024/09/17/\340\270\202\340\271\210\340\270\262\340\270\247\340\270\243\340\270\255\340\270\207 \340\270\231\340\270\243\340\270\241 \340\270\243\340\270\241\340\270\225\340\270\231\340\270\243 _1_882f0ed1-6588-4dd8-8611-522274f44273.txt" new file mode 100644 index 00000000..e340c20a --- /dev/null +++ "b/data/2024/09/17/\340\270\202\340\271\210\340\270\262\340\270\247\340\270\243\340\270\255\340\270\207 \340\270\231\340\270\243\340\270\241 \340\270\243\340\270\241\340\270\225\340\270\231\340\270\243 _1_882f0ed1-6588-4dd8-8611-522274f44273.txt" @@ -0,0 +1,18 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เคาะ 10,000 บาท ให้กลุ่มเปราะบางผู้พิการ กระตุ้นเศรษฐกิจ จ่าย 4 วันเริ่ม 25 ก.ย. ส่วนผู้ตกหล่นจะโอนอีก 3 รอบ สามารถแก้ไขถูกบัญชีพร้อมเพย์ได้ + + +วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 +17/09/2567 +พิมพ์ +ครม.เคาะ 10,000 บาท ให้กลุ่มเปราะบางผู้พิการ กระตุ้นเศรษฐกิจ จ่าย 4 วันเริ่ม 25 ก.ย. ส่วนผู้ตกหล่นจะโอนอีก 3 รอบ สามารถแก้ไขถูกบัญชีพร้อมเพย์ได้ +ครม.เคาะ 10,000 บาท ให้กลุ่มเปราะบางผู้พิการ กระตุ้นเศรษฐกิจ จ่าย 4 วันเริ่ม 25 ก.ย. ส่วนผู้ตกหล่นจะโอนอีก 3 รอบ สามารถแก้ไขถูกบัญชีพร้อมเพย์ได้ +วันนี้ (17 กันยายน 2567) เวลา 12.00 น. ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายพิชัย      ชุณหวชิร  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงรายละเอียดโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจว่ามีความจำเป็นที่จะต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาคประชาชนมีปัญหาหนี้สิน และเศรษฐกิจยังไม่เป็นไปตามที่ตั้งเป้าไว้ มีความจำเป็นเร่งด่วนจะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจและของบประมาณปี 2567  โดยสิ่งเร่งด่วนคือการเติมเงินดูเศรษฐกิจ โดยเดือนกันยายนเม็ดเงินจะถึงมือประชาชน กลุ่มเปราะบาง และกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประมาณ 12.4 ล้านคน และกลุ่มผู้ถือบัตรประจำตัวคนพิการ อีกประมาณ 2 ,149,286 คน  รวมเป็น 14,555,240 คน +นายพิชัย กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการจะเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องใช้งบประมาณที่ผ่านสภาเพื่อนำไปกระตุ้นเศรษฐกิจ และคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณ รวม 145,552.40 ล้านบาท จะเริ่มต้นจ่ายเงินในวันที่ 25 ,26,27 และ 30 กันยายน จะแบ่งจ่าย 4 วัน เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องของระบบ โดยจะเริ่มโอนวันแรก 25 กันยายน 2567 ใช้เวลาทั้งหมด 4 วันไม่รวม เสาร์-อาทิตย์ ซึ่งจะได้รับเงินครบทั้งหมดภายในวันที่ 30 กันยายน2567 โดยกำหนดโอนเงิน 10,000 บาทเข้าบัญชีระบบพร้อมเพย์ที่ผูกกับบัตรประชาชน ดังนี้ +วันที่ 25 ก.ย.67 สำหรับผู้พิการ 2.1 ล้านคน และผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่บัตรประชาชนลงท้ายด้วยเลข 0 +วันที่ 26 ก.ย.67 สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่บัตรประชาชนลงท้ายด้วยเลข 1, 2 และ 3 +วันที่ 27 ก.ย.67 สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่บัตรประชาชนลงท้ายด้วยเลข 4, 5, 6 และ 7 +วันที่ 30 ก.ย.67 สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่บัตรประชาชนลงท้ายด้วยเลข 8 และ 9 +ด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์   รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงกรณีคนที่ยังไม่ได้เปิดบัญชีพร้อมเพย์ ก็สามารถไปดำเนินการได้ หากในวันที่มีการโอนแล้วยังตกหล่น หรือไม่ผ่านก็จะมีการโอนซ้ำอีก 3 ครั้ง ครั้งแรกในวันที่ 22 ตุลาคม ครั้งที่ 2 วันที่  22 พฤศจิกายน และครั้งที่ 3 ในวันที่ 22 ธันวาคม หากประชาชนอยู่ในกลุ่มที่จะได้รับแต่ไม่ได้รับเงินในช่วงดังกล่าว ก็จะมีการทดลองโอนอีก 3 ครั้ง ระหว่างนั้นประชาชนสามารถไปแก้ไขการผูกบัญชีให้เรียบร้อยครบถ้วน +*************************** + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88082 \ No newline at end of file diff --git "a/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\201\340\270\216\340\270\253\340\270\241\340\270\262\340\270\242\340\270\257 _1_cf3c65a7-7f10-4680-b16b-191bc9cf98db.txt" "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\201\340\270\216\340\270\253\340\270\241\340\270\262\340\270\242\340\270\257 _1_cf3c65a7-7f10-4680-b16b-191bc9cf98db.txt" new file mode 100644 index 00000000..9a96f594 --- /dev/null +++ "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\201\340\270\216\340\270\253\340\270\241\340\270\262\340\270\242\340\270\257 _1_cf3c65a7-7f10-4680-b16b-191bc9cf98db.txt" @@ -0,0 +1,15 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.ยุติธรรม และคณะ ตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัย จังหวัดเชียงราย สั่งการกรมราชทัณฑ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เร่งฟื้นฟู - ช่วยเหลือประชาชน + + +วันจันทร์ที่ 16 กันยายน 2567 +16/09/2567 +พิมพ์ +รมว.ยุติธรรม และคณะ ตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัย จังหวัดเชียงราย สั่งการกรมราชทัณฑ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เร่งฟื้นฟู - ช่วยเหลือประชาชน +รมว.ยุติธรรม และคณะ ตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัย จังหวัดเชียงราย สั่งการกรมราชทัณฑ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เร่งฟื้นฟู - ช่วยเหลือประชาชน +ในวันจันทร์ที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๖๗ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย​ พันตำรวจโท ประวุธ วงศ์สีนิล อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน นายสห​การณ์​ เพ็ชร​นรินทร์​ อธิบดี​กรมราชทัณฑ์​ และคณะ ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัย จังหวัดเชียงราย และสั่งการกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม สนับสนุนการนำผู้ต้องขัง ร่วมทำความสะอาดพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เป็นการเข้าสู่ขั้นตอนการเก็บกวาดทำความสะอาด เพื่อเร่งคืนพื้นที่ให้กับประชาชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ให้เร็วที่สุด รวมทั้งได้ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน และประชาชนผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นที่ชุมชนบ้านฟาร์ม ชุมชนเกาะลอย บ้านเวียงกือนา หมู่บ้านธนารักษ์กองทัพบก ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย +จากการสำรวจเบื้องต้น พบว่า แม้ระดับน้ำจะลดระดับลงต่ำกว่าตลิ่งแล้ว แต่ดินโคลนจำนวนมากยังคงถูกกองทับถม อยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ในชุมชนริมน้ำกก ตำบลรอบเวียง อำเภอเมืองเชียงราย เนื่องจากเป็นพื้นที่ติดกับริมแม่น้ำกก ทำให้มีดินโคลน สูงถึง ๒๐ - ๓๐ เซนติเมตร ในจำนวนนี้มีหลายหลังที่ถูกกระแสน้ำซัดจนบ้านพัง บางหลังบ้านทั้งหลังหายไปกับน้ำ +ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบาง เยาวชนและผู้สูงอายุ และได้ให้กำลังใจชาวบ้าน พร้อมมอบเครื่องอุปโภคบริโภค รวมทั้งน้ำดื่มให้กับประชาชนในพื้นที่ชุมชนต่าง ๆ ตลอดทั้งวันของการลงพื้นที่ในวันนี้ด้วย พร้อมกำชับว่า ทางภาครัฐจะเร่งเข้าดำเนินการช่วยเหลือต่อไป โดยเฉพาะเรื่องไฟฟ้าและน้ำประปาที่ขณะนี้ได้รับความเสียหายหลายจุด +ต่อจากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคณะ ได้เยี่ยมชมโรงครัวจิตอาสาตั้งอยู่ที่เกรียงสุวรรณค้าข้าว ซึ่งผลิตอาหารแจกจ่ายให้กับผู้ประสบภัยในพื้นที่ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้ กล่าวย้ำกับประชาชนที่เข้ามาต่อแถวเพื่อรับอาหารว่า จะรายงานเรื่องดังกล่าวในการประชุมคณะรัฐมนตรี ร่วมกับนายกรัฐมนตรี เพื่อเร่งช่วยเหลือเยียวยาให้เร็วที่สุด +ในช่วงบ่าย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคณะ ได้ตรวจเยี่ยม และมอบแนวทางการช่วยเหลือประชาชนให้กับข้าราชการและเจ้าหน้าที่เรือนจำชั่วคราวดอยฮาง และสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดเชียงราย รวมทั้งมอบเครื่องอุปโภคบริโภคจำนวนหนึ่ง เพื่อให้นำไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงรายต่อไป + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88069 \ No newline at end of file diff --git "a/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\201\340\270\216\340\270\253\340\270\241\340\270\262\340\270\242\340\270\257 _2_a9634707-6395-4159-b2da-9025e13958c3.txt" "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\201\340\270\216\340\270\253\340\270\241\340\270\262\340\270\242\340\270\257 _2_a9634707-6395-4159-b2da-9025e13958c3.txt" new file mode 100644 index 00000000..41100a65 --- /dev/null +++ "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\201\340\270\216\340\270\253\340\270\241\340\270\262\340\270\242\340\270\257 _2_a9634707-6395-4159-b2da-9025e13958c3.txt" @@ -0,0 +1,16 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการประกวดระเบียบแถวสวนสนามลูกเสือราชทัณฑ์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ + + +วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 +17/09/2567 +พิมพ์ +ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการประกวดระเบียบแถวสวนสนามลูกเสือราชทัณฑ์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ +ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการประกวดระเบียบแถวสวนสนามลูกเสือราชทัณฑ์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ +ในวันอังคารที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๖๗ เวลา ๑๐.๐๐ น. นางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการประกวดระเบียบแถวสวนสนามลูกเสือราชทัณฑ์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ โดยมี นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวรายงานความเป็นมาและวัตถุประสงค์ของโครงการฯ พร้อมด้วย พันตำรวจโท เชน กาญจนาปัจจ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายชาญ วชิรเดช รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ ผู้บัญชาการเรือนจำ ผู้อำนวยการทัณฑสถานเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ เรือนจำ/ทัณฑสถาน ผู้แทนสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ และผู้บังคับบัญชาลูกเสือ เข้าร่วมฯ ณ ทัณฑสถานวัยหนุ่มกลาง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี +โอกาส​นี้ ปลัดกระทรวยุติธรรม ได้กล่าวใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า วันนี้รู้สึกเป็นเกียรติ และยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเป็นประธานในพิธีการประกวดระเบียบแถวสวนสนามลูกเสือราชทัณฑ์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ โครงการดังกล่าวเป็นการแสดงให้เห็นถึงการนำกระบวนการทางการลูกเสือมาใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ไขฟื้นฟูผู้ต้องขังอย่างเป็นรูปธรรม สร้างการยอมรับ และเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้ต้องขัง โดยขอให้พี่น้องลูกเสือทั้งหลายจงยึดมั่น และปฏิบัติตามอุดมการณ์ของลูกเสืออย่างหนักแน่น การรวมพลังกันของลูกเสือราชทัณฑ์ในครั้งนี้เป็นการแสดงถึงระเบียบวินัย ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของเหล่าพี่น้องลูกเสือราชทัณฑ์ได้เป็นอย่างดี แสดงให้เห็นว่ากระบวนการทางการลูกเสือ สามารถพัฒนาคนให้กลับตนเป็นพลเมืองดีคืนสู่สังคมได้ +โครงการประกวดระเบียบแถวสวนสนามลูกเสือราชทัณฑ์ได้จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ ๓ มีวัตถุประสงค์ในการนำกระบวนการทางลูกเสือมาใช้ในการพัฒนาผู้ต้องขัง เพื่อเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรม ระเบียบวินัย ความสามัคคี ความเสียสละ และประพฤติตนเป็นประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และประเทศชาติ ทั้งในขณะที่ต้องโทษและภายหลังพ้นโทษ อีกทั้งเป็นการสร้างการยอมรับจากสังคมภายนอกตามนโยบาย ๘ มิติ ยกระดับสร้างความเปลี่ยนแปลง ในมิติที่ ๗ ยกระดับสร้างการยอมรับและสร้างความเชื่อมั่นของผู้ต้องขังต่อสังคม โดยการจัดการประกวดระเบียบแถวสวนสนามลูกเสือราชทัณฑ์ ในครั้งนี้ มีเรือนจำ/ทัณฑสถาน สมัครเข้าร่วมการประกวดในรอบคัดเลือก จำนวน ๔๒ เรือนจำ ซึ่งคณะกรรมการตัดสินการประกวดประกอบด้วยผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ และผู้ทรงคุณวุฒิทางการลูกเสือ ได้มีมติคัดเลือกเรือนจำ/ทัณฑสถาน ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมการประกวดในรอบชิงชนะเลิศ แบ่งเป็น ประเภทชาย และประเภทหญิง +โดยเรือนจำ/ทัณฑสถาน ที่ชนะการประกวดระเบียบแถวสวนสนามลูกเสือราชทัณฑ์ ดังนี้ +- รางวัลชนะเลิศการประกวดระเบียบแถวสวนสนามลูกเสือราชทัณฑ์ ประเภทชาย ได้แก่ เรือนจำกลางนครปฐม รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ ๑ ได้แก่ เรือนจำกลางระยอง​ และรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ ๒ ได้แก่ เรือนจำกลางชลบุรี +- รางวัลชนะเลิศการประกวดระเบียบแถวสวนสนามลูกเสือราชทัณฑ์ ประเภทหญิง ได้แก่ ทัณฑสถานหญิงนครราชสีมา รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ ๑ ได้แก่ ทัณฑสถานหญิงชลบุรี รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ ๒ ได้แก่ ทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88094 \ No newline at end of file diff --git "a/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\204\340\270\247\340\270\262\340\270\241\340\270\241\340\270\261\340\271\210\340\270\231\340\270\204\340\270\207 _1_4e383994-e9f6-4cd8-a308-9abb865be905.txt" "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\204\340\270\247\340\270\262\340\270\241\340\270\241\340\270\261\340\271\210\340\270\231\340\270\204\340\270\207 _1_4e383994-e9f6-4cd8-a308-9abb865be905.txt" new file mode 100644 index 00000000..22f9ee41 --- /dev/null +++ "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\204\340\270\247\340\270\262\340\270\241\340\270\241\340\270\261\340\271\210\340\270\231\340\270\204\340\270\207 _1_4e383994-e9f6-4cd8-a308-9abb865be905.txt" @@ -0,0 +1,11 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"เฉลิมชัย" ควง “ปลัด ทส. ”ประชุม คกก.อำนวยการและบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม นัดแรก + + +วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 +"เฉลิมชัย" ควง “ปลัด ทส. ”ประชุม คกก.อำนวยการและบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม นัดแรก +"เฉลิมชัย" ควง “ปลัด ทส. ”ประชุม คกก.อำนวยการและบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม นัดแรก +"เฉลิมชัย" ควง “ปลัด ทส. ”ประชุม คกก.อำนวยการและบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม นัดแรก +วันที่ 16 กันยายน 2567  เวลา 14.00 น. ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายพิชิต สมบัติมาก อธิบดีกรมทรัพยากรธรณีเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการอำนวยการและบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (คอส.) ครั้งที่ 1/2567 โดยมี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมฯ ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อรับทราบสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนที่สำคัญ สถานการณ์การระบายน้ำ การพยากรณ์อากาศ และแนวทางการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงการช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบให้มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม หรือ ศปช. +ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการในที่ประชุมที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงทรัพยากรฯ เรื่องดินโคลนถล่ม โดยให้กรมทรัพยากรธรณี ต้องมีการชี้จุดที่ชัดเจน และมีการซักซ้อมอย่างจริงจังในพื้นที่ที่คาดว่าจะมีภัยดังกล่าว นอกจากนี้ ยังได้สั่งการ (1) ให้ ศปช. ดำเนินงานตามแผนงาน ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพร้อมแก้ไขปัญหาหากมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงประเมินสถานการณ์และกำหนดการลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรี เพื่อติดตาม สั่งการ และแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชนได้ทันที (2) ให้คณะ คอส. ประชุมติดตามงานเป็นระยะ ๆ จนกว่าเหตุการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ (3) ให้สำนักนายกรัฐมนตรี เร่งรัดมาตรการฟื้นฟูเยียวยา โดยกำหนดกรอบระยะเวลาให้ชัดเจน (4) ให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนในพื้นที่ทราบ และขอให้กองทัพ ร่วมกับ กรมอาชีวศึกษา ระดมกำลังเข้าไปช่วยซ่อมแซมบ้านเรือนของประชาชน รวมถึงอาคารสถานที่ราชการโดยเร็ว + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88073 \ No newline at end of file diff --git "a/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\204\340\270\247\340\270\262\340\270\241\340\270\241\340\270\261\340\271\210\340\270\231\340\270\204\340\270\207 _2_b773a220-d729-446c-9a1f-2a5d57b2f888.txt" "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\204\340\270\247\340\270\262\340\270\241\340\270\241\340\270\261\340\271\210\340\270\231\340\270\204\340\270\207 _2_b773a220-d729-446c-9a1f-2a5d57b2f888.txt" new file mode 100644 index 00000000..2ab93caa --- /dev/null +++ "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\204\340\270\247\340\270\262\340\270\241\340\270\241\340\270\261\340\271\210\340\270\231\340\270\204\340\270\207 _2_b773a220-d729-446c-9a1f-2a5d57b2f888.txt" @@ -0,0 +1,11 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​“เฉลิมชัย” ประชุมเข้ม ติดตามสถานการณ์น้ำและดินโคลนถล่มอย่างใกล้ชิด ย้ำต้องเร่งช่วยเหลือพี่น้องประชาชนโดยเร็วที่สุด + + +วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 +​“เฉลิมชัย” ประชุมเข้ม ติดตามสถานการณ์น้ำและดินโคลนถล่มอย่างใกล้ชิด ย้ำต้องเร่งช่วยเหลือพี่น้องประชาชนโดยเร็วที่สุด +​“เฉลิมชัย” ประชุมเข้ม ติดตามสถานการณ์น้ำและดินโคลนถล่มอย่างใกล้ชิด ย้ำต้องเร่งช่วยเหลือพี่น้องประชาชนโดยเร็วที่สุด +“เฉลิมชัย” ประชุมเข้ม ติดตามสถานการณ์น้ำและดินโคลนถล่มอย่างใกล้ชิด ย้ำต้องเร่งช่วยเหลือพี่น้องประชาชนโดยเร็วที่สุด +วันที่ 16 กันยายน 2567 เวลา 11.00 น. ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) เป็นประธานการประชุมศูนย์อำนวยการและประสานงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ โดยมีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปกท.ทส.) พร้อมด้วยรองปลัดกระทรวงฯ ผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ หัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงฯ และหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงฯ ในระดับพื้นที่ เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ชั้น 17 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผ่านระบบ VDO Conference เพื่อรับฟังผลการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย โดยเฉพาะในพื้นที่วิกฤต อาทิ อ.เมือง และอ.แม่สาย จ.เชียงราย ทั้งการส่งกำลังพลเข้าช่วยลอกตะกอนดินทำความสะอาดบ้านเรือนประชาชน การช่วยเหลืออพยพประชาชนและผู้ป่วย การรับดูแลสัตว์เลี้ยงให้กับประชาชนผู้ประสบภัย การแจ้งเตือนภัยในพื้นที่เสี่ยง การสนับสนุนอากาศยานเพื่อการลำเลียงสิ่งของทางอากาศ การสนับสนุนเครื่องสูบน้ำและเข้าช่วยกู้โรงผลิตน้ำประปา การแจกจ่ายน้ำดื่ม และการจัดตั้งครัวสนามแจกจ่ายอาหารให้กับประชาชนในพื้นที่ประสบภัย รวมทั้งการเตรียมการฟื้นฟูพื้นที่หลังน้ำลด การจัดการขยะขนาดใหญ่จากบ้านเรือนประชาชน นอกจากนี้ ยังได้รับฟังการคาดการณ์สถานการณ์น้ำ ปริมาณน้ำฝน และพื้นที่เสี่ยงภัยพิบัติ ซึ่งพบว่าปริมาณฝนในพื้นที่ภาคเหนือมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง และร่องมรสุมมีเกณฑ์ที่จะพัดผ่านลงสู่ภาคใต้ต่อไป จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนเตรียมความพร้อมรับมือและวางแผนป้องกันภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ +โดย ดร.เฉลิมชัย รมว.ทส. ได้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่ปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ ในการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง และขอให้ทุกหน่วยงานอำนวยความสะดวกให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน เพื่อให้การช่วยเหลือและฟื้นฟูเป็นไปได้อย่างราบรื่น โดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคถือเป็นปัญหาที่สำคัญ จึงขอให้เร่งแจกจ่ายน้ำสะอาดไปสู่ประชาชนอย่างทั่วถึง และขอให้ปลัดกระทรวงฯ กำกับดูแลการบูรณาการการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้งภายในและภายนอกกระทรวงฯ อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนโดยเร็ว สำหรับการแจ้งเตือนภัยให้กับประชาชน ที่ท่านนายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) ได้ให้ความสำคัญและห่วงใยพี่น้องประชาชน ขอให้นำเทคโนโลยีที่ทันสมัย มาใช้ในการคาดการณ์และแจ้งเตือนประชาชนอย่างต่อเนื่อง เช่น เป็นรายสัปดาห์ เพื่อให้ทุกหน่วยงานได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งขอให้ทุกหน่วยงานยังคงเตรียมความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ภัยธรรมชาติต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไป เพื่อดูแลประชาชนให้ดีที่สุด + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88074 \ No newline at end of file diff --git "a/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\204\340\270\247\340\270\262\340\270\241\340\270\241\340\270\261\340\271\210\340\270\231\340\270\204\340\270\207 _3_9d60c854-96a7-4e91-8790-ae59fc777190.txt" "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\204\340\270\247\340\270\262\340\270\241\340\270\241\340\270\261\340\271\210\340\270\231\340\270\204\340\270\207 _3_9d60c854-96a7-4e91-8790-ae59fc777190.txt" new file mode 100644 index 00000000..d014cc5e --- /dev/null +++ "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\204\340\270\247\340\270\262\340\270\241\340\270\241\340\270\261\340\271\210\340\270\231\340\270\204\340\270\207 _3_9d60c854-96a7-4e91-8790-ae59fc777190.txt" @@ -0,0 +1,16 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-'อนุทิน' นำ มท.ร่วมกับ สธ. อว. และ ศธ. ทำ MOU ส่งเสริมการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล และสาธารณสุข 10 ปี 62,000 คน หนุนประชาชนให้ได้รับบริการมีประสิทธิภาพและทั่วถึง + + +วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 +17/09/2567 +พิมพ์ +'อนุทิน' นำ มท.ร่วมกับ สธ. อว. และ ศธ. ทำ MOU ส่งเสริมการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล และสาธารณสุข 10 ปี 62,000 คน หนุนประชาชนให้ได้รับบริการมีประสิทธิภาพและทั่วถึง +'อนุทิน' นำ มท.ร่วมกับ สธ. อว. และ ศธ. ทำ MOU ส่งเสริมการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล และสาธารณสุข 10 ปี 62,000 คน หนุนประชาชนให้ได้รับบริการมีประสิทธิภาพและทั่วถึง +เมื่อวานนี้ (16 ก.ย. 67) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ร่วมลงนามในบันทึกความตกลงความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนการผลิตแพทย์และทีมนวัตกรรมสุขภาพ เพื่อเวชศาสตร์ครอบครัวตอบสนองต่อระบบสุขภาพปฐมภูมิทั่วไทย (9 หมอ แผน 10 ปี ตั้งแต่ปีการศึกษา 2568 - 2577) โดย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนาม MOU และสักขีพยานในการลงนาม โดยมีผู้ร่วมลงนามประกอบด้วย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง สมศรี เผ่าสวัสดิ์ นายกแพทยสภา ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวง อว. ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายราชันย์ ซุ้นหั้ว รองปลัดกระทรวงมหาดไทย อธิการบดีสถาบันพระบรมราชชนก ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารโครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท ร่วมลงนาม ณ โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพฯ +นายอนุทิน กล่าวว่า MOU ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านการผลิตและการพัฒนาบุคลากรด้านการแพทย์ และทีมสหวิชาชีพ จัดการศึกษา ส่งเสริมวิชาการและวิชาชีพ ทำการสอน การวิจัย การพัฒนานวัตกรรม การให้บริการวิชาการแก่สังคม และทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม และวางแผนและดำเนินงานภายใต้โครงการผลิตแพทย์และทีมนวัตกรรมสุขภาพ เพื่อเวชศาสตร์ครอบครัวตอบสนองต่อระบบสุขภาพปฐมภูมิทั่วไทย รวมถึงร่วมพัฒนาหลักสูตรและผลิตแพทยศาสตรบัณฑิต หลักสูตรด้านการพยาบาล และการสาธารณสุข เพื่อรองรับการพัฒนาระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ รวมถึงการให้บริการทางวิชาการแก่สังคมโดยเน้นความร่วมมือกับชุมชนและการสร้างความร่วมมือในการดำเนินกิจกรรมด้านอื่น ๆ +ภายใต้กรอบความร่วมมือและแนวทางการดำเนินการ กระทรวงสาธารสุข ซึ่งเป็นหน่วยงานเจ้าภาพ ในส่วนของกระทรวงมหาดไทยจะสนับสนุนในภารกิจต่าง ๆ อาทิ ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข วางแผนปฏิบัติงานในสถานบริการสังกัดของกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทย และกำหนดแนวให้ทุนการศึกษาและการทำสัญญาชดใช้ทุน เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล และสาธารณสุข +นายอนุทิน กล่าว การขับเคลื่อนการดำเนินงานของสถาบันพระบรมราชชนก มีส่วนสำคัญที่เชื่อมโยงกับภารกิจของกระทรวงมหาดไทย ในด้านการพัฒนาแพทย์ปฐมภูมิ เวชศาสตร์ครอบครัวดูแลประชาชนในสัดส่วนที่เหมาะสมเพื่อการรองรับการถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี (สอน.) ไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ภายใต้การกระจายอำนาจ +สำหรับเป้าหมายการผลิตบุคลาการทางด้านการสาธารณสุข ในระยะเวลา 10 ปี (ปีการศึกษา 2568 - 2577) ของประเทศไทยนั้น มีจำนวนรวม 62,000 คน ประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล นักวิชาการสาธารณสุข ผู้ช่วยพยาบาล ผู้ช่วยสาธารณสุข ทันตแพทย์ เภสัชกร ฉุกเฉินการแพทย์ และแพทย์แผนไทย +“กระทรวงมหาดไทยยินดีที่จะให้ความร่วมมือในโครงการครั้งนี้ หรือ โครงการ 9 หมอ ซึ่ง MOU ร่วมกันจะเป็นจุดเริ่มต้นในการขับเคลื่อนในการผลิตบุคลากรทางการแพทย์จำนวน 9 สาขาวิชาชีพ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน ผมในฐานะที่เป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขขอขอบคุณท่าน รัฐมนตรีฯ สาธารณสุข ที่กรุณาเพิ่มกำลัง 2 ของหมอ จากเดิม 3 หมอ เป็น 9 หมอ ผมต้องขอกราบขอบพระคุณท่านที่พิจารณาโครงการที่ดี ๆ เหล่านี้ ต่อยอดให้มีประสิทธิภาพประสิทธิผลเพิ่มมากขึ้น” นายอนุทิน กล่าว + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88089 \ No newline at end of file diff --git "a/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\204\340\270\247\340\270\262\340\270\241\340\270\241\340\270\261\340\271\210\340\270\231\340\270\204\340\270\207 _4_649895bb-f3ec-4019-820f-86028e52b709.txt" "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\204\340\270\247\340\270\262\340\270\241\340\270\241\340\270\261\340\271\210\340\270\231\340\270\204\340\270\207 _4_649895bb-f3ec-4019-820f-86028e52b709.txt" new file mode 100644 index 00000000..956c769f --- /dev/null +++ "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\204\340\270\247\340\270\262\340\270\241\340\270\241\340\270\261\340\271\210\340\270\231\340\270\204\340\270\207 _4_649895bb-f3ec-4019-820f-86028e52b709.txt" @@ -0,0 +1,17 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติงบกลาง 3,045.51 ล้านบาท ตามที่มหาดไทยเสนอ ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝนใน 57 จังหวัด ครอบคลุม 338,391 ครัวเรือน + + +วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 +17/09/2567 +พิมพ์ +ครม.อนุมัติงบกลาง 3,045.51 ล้านบาท ตามที่มหาดไทยเสนอ ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝนใน 57 จังหวัด ครอบคลุม 338,391 ครัวเรือน +โฆษกมหาดไทย เผย ครม.อนุมัติงบกลาง 3,045.51 ล้านบาท ตามที่มหาดไทยเสนอ ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝนใน 57 จังหวัด ครอบคลุม 338,391 ครัวเรือน +น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้(17 ก.ย. 67) ได้มีมติอนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 3,045.519 ล้านบาท เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทุกภัยในช่วงฤดูฝนปี 2567 ซึ่งการจ่ายเงินจะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีจ่ายเงินช่วยเหลือตามที่ ครม. อนุมัติในวันนี้ด้วยเช่นกัน โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย จะเป็นหน่วยรับงบประมาณและดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยผ่านธนาคารออมสิน ซึ่งทางธนาคาร จะจ่ายเงินให้แก่ผู้ประสบภัยที่มีสิทธิโดยตรงผ่านระบบพร้อมเพย์ต่อไป +น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือ จะต้องเป็นอุทกภัยที่เกิดในช่วงฤดูฝน ปี 2567 ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค. 67 ทั้งกรณีน้ำท่วมฉับพลัน น้ำไหลหลาก น้ำลันตลิ่ง รวมถึงการระบายน้ำจนส่งผลกระทบทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตได้ ที่อยู่อาศัยนั้นต้องเป็นบ้านอยู่อาศัยเป็นประจำใน อยู่ในพื้นที่ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย หรือ พื้นที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ใน 57 จังหวัด +ส่วนเงื่อนไขนั้นจะต้องเป็นบ้านที่อยู่อาศัยประจำในพื้นที่ที่ได้ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยและหรือประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน และ มีหนังสือรับรองผู้ประสบภัยที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกให้ และ ผ่านการประชาคมหมู่บ้านของแต่ละพื้นที่ประสบสาธารณภัย และผ่านการตรวจสอบและยืนยันข้อมูลจากคณะกรรมการรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ และ จังหวัด นอกจากนี้ หาเป็นกรณีประสบภัยหลายครั้งจะได้รับความช่วยเหลือครั้งเดียว +น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การจ่ายเงินช่วยเหลือจะแยกเป็นแต่ละกรณี ดังนี้ 1) กรณีที่อยู่อาศัยประจำอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมขัง ติดต่อกันตั้งแต่ 1 วัน (24 ชั่วโมง) แต่ไม่เกิน 7 วัน และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย หรือ ที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขังเกินกว่า 7 วัน แต่ไม่เกิน 30 วันให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 5,000 บาท 2) กรณีที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมขัง ติดต่อกันเกินกว่า 30 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 7,000 บาท และ 3) กรณีที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมขัง ติดต่อกันเกินกว่า 60 วัน ขึ้นไป ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 9,000 บาท +น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การจ่ายเงินช่วยเหลือครั้งนี้จะทำให้ ครัวเรือนผู้ประสบภัยจำนวน 338,391 ครัวเรือนใน 57 จังหวัด ซึ่งเป็นพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบ, พื้นที่ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย, พื้นที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง และสามารถดำรงชีวิตเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว +สำหรับ 57 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกระบี่ กาญจนบุรี กาฬสินธุ์ กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชัยภูมิ ชลบุรี เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง ตราด ตาก นนทบุรี นครนายก นครปฐม นครพนม นครสวรรค์ นครราชสีมา นครศรีธรรมราช น่าน บึงกาฬ ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา พังงา พะเยา พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ แพร่ ภูเก็ต มหาสารคาม มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยะลา ระยอง ราชบุรี ร้อยเอ็ด ลำปาง ลำพูน เลย ศรีสะเกษ สกลนคร สตูล สระแก้ว สระบุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี หนองคาย หนองบัวลำภู อ่างทอง อุทัยธานี อุดรธานี อุตรดิตถ์ และจังหวัดอุบลราชธานี +"การดำเนินการของกระทรวงมหาดไทยหลังจากนี้ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจัดประชุมชี้แจงทำความเข้าใจ กับผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธาธารณภัยจังหวัด นายอำเภอกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองท้องถิ่น และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จัดทำแนวทางการปฏิบัติงานให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง ในระดับอำเภอ แต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบในแต่ละหมู่บ้าน สำรวจข้อมูลรายละเอียดของผู้ประสบภัยรวมทั้งแจ้งผู้ประสบภัยให้ลงทะเบียนพร้อมเพย์ผูกบัญชีธนาคารกับเลขประจำตัวประชาชนให้พร้อมรับการโอนเงินจากธนาคารออมสินให้เรียบร้อยต่อไป" น.ส.ไตรศุลี กล่าว + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88092 \ No newline at end of file diff --git "a/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\247\340\270\261\340\270\222\340\270\231\340\270\230\340\270\243\340\270\243\340\270\241\340\270\227\340\271\210\340\270\255\340\270\207\340\271\200\340\270\227\340\270\265\340\271\210\340\270\242\340\270\247\340\270\257 _1_2ecabc85-14a0-48d3-8055-48e764737b0b.txt" "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\247\340\270\261\340\270\222\340\270\231\340\270\230\340\270\243\340\270\243\340\270\241\340\270\227\340\271\210\340\270\255\340\270\207\340\271\200\340\270\227\340\270\265\340\271\210\340\270\242\340\270\247\340\270\257 _1_2ecabc85-14a0-48d3-8055-48e764737b0b.txt" new file mode 100644 index 00000000..69ffa11a --- /dev/null +++ "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\247\340\270\261\340\270\222\340\270\231\340\270\230\340\270\243\340\270\243\340\270\241\340\270\227\340\271\210\340\270\255\340\270\207\340\271\200\340\270\227\340\270\265\340\271\210\340\270\242\340\270\247\340\270\257 _1_2ecabc85-14a0-48d3-8055-48e764737b0b.txt" @@ -0,0 +1,12 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุดาวรรณ” เร่งสานต่อนโยบายรัฐบาลกำชับหน่วยงานสังกัดปรับแผนการทำงานงบปี 68 ให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล - ดัน วธ.สู่กระทรวงสังคมกึ่งเศรษฐกิจ + + +วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 +“สุดาวรรณ” เร่งสานต่อนโยบายรัฐบาลกำชับหน่วยงานสังกัดปรับแผนการทำงานงบปี 68 ให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล - ดัน วธ.สู่กระทรวงสังคมกึ่งเศรษฐกิจ +“สุดาวรรณ” เร่งสานต่อนโยบายรัฐบาลกำชับหน่วยงานสังกัดปรับแผนการทำงานงบปี 68 ให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล - ดัน วธ.สู่กระทรวงสังคมกึ่งเศรษฐกิจ +“สุดาวรรณ” เร่งสานต่อนโยบายรัฐบาลกำชับหน่วยงานสังกัดปรับแผนการทำงานงบปี 68 ให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล - ดัน วธ.สู่กระทรวงสังคมกึ่งเศรษฐกิจ ชวนเที่ยวประเพณีบุญกระธูป - เที่ยวโบราณสถานยามค่ำคืน 4 วัด 1 วัง กระตุ้นท่องเที่ยวแหล่งโบราณสถาน – สร้างรายได้สู่ชุมชน +นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวภายหลังการประชุมหัวหน้าส่วนราชการและองค์การมหาชนในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ครั้งที่ 2/2567 เมื่อเร็วๆนี้ ว่า ในการประชุมดังกล่าวหน่วยงานในสังกัด วธ. ได้รายงานความคืบหน้าการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงวัฒนธรรมซึ่งได้กำชับให้ทุกหน่วยงานในสังกัดปรับแผนการดำเนินงานของ วธ. ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ของแต่ละหน่วยงานให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลหลังจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเรียบร้อยแล้ว +นางสาวสุดาวรรณ กล่าวว่า นอกจากนี้ มีการรายงานแผนการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ซึ่งได้กำชับให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการเบิกจ่ายให้เป็นไปตามแผนและหากหน่วยงานใดได้รับการจัดสรรงบกลาง มาเพื่อขับเคลื่อนงานในปีงบประมาณปี 2567 ขอให้เร่งรัดดำเนินการตามแผนงานและให้ดำเนินการทันตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ได้กำชับให้แต่ละหน่วยงานว่าในปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ขอสานต่อนโยบายในการผลักดันกระทรวงวัฒนธรรมสู่กระทรวงสังคมกึ่งเศรษฐกิจ โดยใช้อัตลักษณ์พื้นถิ่น ทุนทางวัฒนธรรมมรดกภูมิปัญญามาสร้างมูลค่าเพิ่มและนำมาพัฒนาให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนซึ่งแต่ละหน่วยงานได้นำเสนอแผนการขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมที่สำคัญในเดือนถัดไป อาทิ สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นำเสนอแผนการส่งเสริมประเพณีและพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรม เพื่อสร้างรายได้สู่ชุมชน โดยเดือนตุลาคมจะส่งเสริมประเพณีบุญกระธูป จังหวัดชัยภูมิซึ่งเป็นประเพณีที่จัดขึ้นในช่วงออกพรรษาโดยมีความสอดคล้องกับความเป็นมาของประเพณีฮีตสิบสอง ซึ่งถือเอาช่วงก่อนวันออกพรรษา 3 วัน คือ ขึ้น 12 - 15 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี ก่อนเทศกาลจะเริ่มผู้นำชุมชนร่วมกับชาวบ้านจะมีการจัดทำต้นกระธูปเพื่อจุดถวายพุทธบูชา และเพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการอนุรักษ์วัฒนธรรมเป็นประเพณีประจำท้องถิ่น โดยจะมีจัดนิทรรศการองค์ความรู้ประเพณีบุญกระธูปมีชีวิต สาธิตกระบวนการทำกระธูปและต้นกระธูป การจัดแสดงผลงานผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ (Work shop) และการต่อยอดถนนสายกระธูป (กระธูปหรรษา) เป็นต้น +“นอกจากนี้ มอบหมายให้กรมศิลปากร สานต่อกิจกรรมเปิดพิพิธภัณฑ์ยามและโบราณสถานยามค่ำคืนเนื่องจากได้รับการตอบรับจากนักท่องเที่ยวและเห็นว่าเป็นกิจกรรมที่จะต้องดำเนินการต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยเปิดแหล่งท่องเที่ยวโบราณสถานในยามราตรีให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้สัมผัสความสวยงามของโบราณสถานในยามค่ำคืน ได้เห็นภาพของโบราณสถานยามราตรีที่กระทบแสงไฟสาดส่อง ซึ่งเป็นภาพที่สวยงามสร้างความประทับใจให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว ที่สำคัญเป็นนโยบายด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาลในการสร้างรายได้สู่ชุมชน ซึ่งกรมศิลปากรรายงานจะดำเนินการกิจกรรมดังกล่าวโดยร่วมกับจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจัดโครงการท่องเที่ยวโบราณสถานยามค่ำคืน 4 วัด 1 วัง เมื่อครั้งต้นกรุง เปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าชม คือ วัดไชยวัฒนาราม วัดราชบูรณะ วัดมหาธาตุ วัดพระราม และพระราชวังจันทรเกษม ซึ่งจะดำเนินการตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2567 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2568” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าว + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88086 \ No newline at end of file diff --git "a/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\252\340\270\261\340\270\207\340\270\204\340\270\241 _1_40e56c9f-b2d9-464b-8307-545563a19673.txt" "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\252\340\270\261\340\270\207\340\270\204\340\270\241 _1_40e56c9f-b2d9-464b-8307-545563a19673.txt" new file mode 100644 index 00000000..ccc4d695 --- /dev/null +++ "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\252\340\270\261\340\270\207\340\270\204\340\270\241 _1_40e56c9f-b2d9-464b-8307-545563a19673.txt" @@ -0,0 +1,15 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรพ.จัดงานวันความปลอดภัยผู้ป่วยโลก เน้นยกระดับวินิจฉัยถูกต้อง-ทันเวลา ดึงประชาชนมีส่วนร่วม + + +วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 +สรพ.จัดงานวันความปลอดภัยผู้ป่วยโลก เน้นยกระดับวินิจฉัยถูกต้อง-ทันเวลา ดึงประชาชนมีส่วนร่วม +รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานวันแห่งความปลอดภัยของผู้ป่วยโลกและวันแห่งความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุขของประเทศไทย เดินหน้ายุทธศาสตร์ระยะที่ 2 ปี 2567 +ประกาศนโยบาย People Safety ให้ความสำคัญ “ประชาชน” ร่วมสร้างระบบบริการที่ปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยและบุคลากร ตามแนวทาง 3P Safety เผยมีโรงพยาบาลเข้าร่วมแล้ว 1,007 แห่ง มุ่งยกระดับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและทันเวลา เพื่อรับรองความปลอดภัยแก่ผู้ป่วย +วันนี้ (17 กันยายน 2567) ที่โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น หลักสี่ กรุงเทพฯ นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมวันแห่งความปลอดภัยของผู้ป่วยโลก ครั้งที่ 6 (The 6th World Patient Safety Day) และวันแห่งความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุขของประเทศไทย ครั้งที่ 8 (The 8th Thailand Patient and Personnel Safety Day) ภายใต้แนวคิด Improving diagnosis for Patient Safety “Get it right, make it safe!” ประจำปีงบประมาณ 2567 พร้อมปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ความสำคัญของความปลอดภัยในระบบบริการสุขภาพของประเทศไทย” +นพ.สุรโชค กล่าวว่า ในปี 2567 องค์การอนามัยโลก (WHO) ให้ความสำคัญเรื่องการขับเคลื่อนความปลอดภัย สร้างความตระหนักรู้ให้กับสาธารณชนและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างผู้ป่วย เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ผู้กำหนดนโยบายและผู้นำด้านการดูแลสุขภาพ เพื่อปรับปรุงความปลอดภัยของผู้ป่วยในประเด็น Improving diagnosis for Patient Safety “Get it right, make it safe!” เน้นความสำคัญของการวินิจฉัยที่ถูกต้อง ปลอดภัยและทันเวลาในการรับรองความปลอดภัย ของผู้ป่วย ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญของ Global Patient Safety Action Plan 2021-2030 ที่มีเป้าหมายลดความ ไม่ปลอดภัยที่เกิดขึ้นในระบบบริการ พร้อมเปิดกว้างและสร้างการมีส่วนร่วมของผู้ป่วยและประชาชนเป็นทีมในการดูแลสุขภาพของตนเองและครอบครัว ไปจนถึงระดับนโยบาย เพื่อร่วมกันพัฒนาระบบบริการสุขภาพเพื่อความปลอดภัยสำหรับทุกคน +นพ.สุรโชคกล่าวต่อว่า เรื่องความปลอดภัยต้องอาศัย 3 องค์ประกอบ คือ ผู้ป่วย บุคลากรสาธารณสุข และประชาชน ซึ่งที่ผ่านมา สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) หรือ สรพ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ขับเคลื่อนผ่านโครงการ Patient Personnel and People หรือ 3P Safety Hospital และมียุทธศาสตร์ต่อเนื่องมาสู่ระยะที่ 2 (พ.ศ.2567-2570) ที่มีเป้าหมายร่วมกัน คือ “ประเทศไทยก้าวสู่ระบบบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและความปลอดภัยเพื่อทุกคน" ซึ่งผลของการขับเคลื่อนเรื่อง 3P Safety ทำให้ประเทศไทยมีระบบการรายงานอุบัติการณ์ความเสี่ยงและเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ นำไปสู่การวิเคราะห์ข้อมูล เฝ้าระวัง และวางแผนพัฒนาเชิงระบบ มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สร้างความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อพัฒนารูปแบบ กลไกและนวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยและบุคลากร โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญร่วมกันพัฒนาองค์ความรู้ ประสานแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับต่างประเทศ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขพร้อมสนับสนุนและผลักดันการขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ระบบบริการสุขภาพของประเทศไทยมีคุณภาพและความปลอดภัยอย่างยั่งยืน +ด้าน พญ.ปิยวรรณ ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้อำนวยการ สรพ. กล่าวว่า ที่ประชุมสมัชชาองค์การอนามัยโลก ครั้งที่ 72 พ.ศ. 2562 มีมติกำหนดให้วันที่ 17 กันยายนของทุกปี เป็นวัน World Patient Safety Day ขณะที่คณะกรรมการขับเคลื่อนความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรสาธารณสุข ของประเทศไทย ได้กำหนดให้วันที่ 17 กันยายนของทุกปี เป็นวัน “Thailand Patient and Personnel Safety Day” โดยในปี 2567 เป็นการประกาศนโยบาย People Safety เพื่อส่งเสริมให้เกิดวัฒนธรรมความปลอดภัยต่อประชาชนที่เกี่ยวข้องในการเข้าสู่ระบบบริการได้อย่างทั่วถึง ได้รับการบริการที่มีคุณภาพและความปลอดภัย ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่าการขับเคลื่อนระบบบริการสุขภาพ ต้องอาศัยองค์ประกอบทั้งผู้ป่วย บุคลากร ประชาชนหรือญาติผู้ดูแล (3P) โดยมีแนวทางในการดำเนินงานตามยุทธศาตร์ 3P Safety strategy ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีการพัฒนาระบบที่คำนึงถึงทั้งผู้ให้บริการ ผู้รับบริการและญาติ เป็นการขับเคลื่อนที่มีพลังและมีการเรียนรู้อย่างไม่หยุดนิ่ง +สำหรับการจัดงานในปี 2567 นี้ ดำเนินการในรูปแบบ Hybrid มีผู้เข้าร่วมประชุมในงาน 408 คน และออนไลน์ 508 บัญชี ครอบคลุมสถานพยาบาลที่เป็นสมาชิกทั้ง 1,007 แห่ง มีกิจกรรมที่น่าสนใจหลากหลาย อาทิ เวทีแลกเปลี่ยนการพัฒนาเครื่องมือคุณภาพด้านความปลอดภัย เรื่องการวินิจฉัยคลาดเคลื่อนจากกรณีศึกษาโรงพยาบาลนำร่อง,พิธีมอบประกาศนียบัตรแก่สมาชิกโรงพยาบาลโครงการ 3P Safety Hospital และเวทีการนำเสนอผลงานนวัตกรรม 2P Safety Tech รวมถึงการประกาศผลและมอบรางวัลนวัตกรรมด้านความปลอดภัยด้วย +********************************************************** 17 กันยายน 2567 + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88077 \ No newline at end of file diff --git "a/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\252\340\270\261\340\270\207\340\270\204\340\270\241 _2_d1987dd9-9c37-41cd-891d-e65c0fd031ab.txt" "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\252\340\270\261\340\270\207\340\270\204\340\270\241 _2_d1987dd9-9c37-41cd-891d-e65c0fd031ab.txt" new file mode 100644 index 00000000..a1365801 --- /dev/null +++ "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\252\340\270\261\340\270\207\340\270\204\340\270\241 _2_d1987dd9-9c37-41cd-891d-e65c0fd031ab.txt" @@ -0,0 +1,13 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“วราวุธ” เผย กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ประจำประเทศไทย เชิญ ร่วมยินดี บิ๊กเนม 100 ชื่อ รับรางวัล HER AWARDS UNFPA, THAILAND 2024 ประชากรหญิงผู้สร้างแรงบันดาลใจ + + +วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 +“วราวุธ” เผย กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ประจำประเทศไทย เชิญ ร่วมยินดี บิ๊กเนม 100 ชื่อ รับรางวัล HER AWARDS UNFPA, THAILAND 2024 ประชากรหญิงผู้สร้างแรงบันดาลใจ +“วราวุธ” เผย กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ประจำประเทศไทย เชิญ ร่วมยินดี บิ๊กเนม 100 ชื่อ รับรางวัล HER AWARDS UNFPA, THAILAND 2024 ประชากรหญิงผู้สร้างแรงบันดาลใจ +วันที่ 17 กันยายน 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยว่า กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ประจำประเทศไทย ร่วมกับภาคเอกชน จัดพิธีมอบรางวัล HER AWARDS UNFPA, THAILAND 2024 ประชากรหญิงผู้สร้างแรงบันดาลใจ ขึ้นในวันที่ 18 ก.ย. 67 นี้ โดยคุณสิริลักษณ์ เชียงว่อง หัวหน้าสำนักงาน UNFPA ประจำประเทศไทย เป็นประธานในพิธี ที่ห้องประชุม ESCAP HALL องค์การสหประชาชาติ ราชดำเนิน กรุงเทพมหานคร และได้เชิญตนไปร่วมเป็นเกียรติและแสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัลทั้งหมดในปีนี้ ในฐานะที่กระทรวง พม. ขับเคลื่อนงานด้านสตรี การพัฒนาศักยภาพสตรี ความเสมอภาคและความเท่าเทียมระหว่างเพศ +นายวราวุธ กล่าวว่า  กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ประจำประเทศไทย ได้มอบรางวัล HER AWARDS เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองสามทศวรรษ (30 ปี) ของการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยประชากรและการพัฒนา (International Conference on Population and Development หรือ ICPD)  โดยรางวัล HER AWARDS มุ่งยกย่องบุคคลไม่ว่าเพศ วัย หรือองค์กร ที่เป็นกลุ่มคนทำงานที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์พัฒนาสังคมที่ดีขึ้น และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากร โดยรางวัลนี้เปิดกว้างสำหรับทุกคน เพื่อเป็นการแสดงความชื่นชม เชิดชูเกียรติ และเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่ทุ่มเทสร้างสรรค์คุณประโยชน์ให้สังคม โดยเฉพาะด้านการพัฒนาประชากร การส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ การยุติความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศ และการเสริมพลังกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้หญิงและเด็กผู้หญิง +นายวราวุธ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้รับรางวัล HER AWARDS THAILAND 2024 มีทั้งหมด 100 รางวัล แบ่งเป็นผู้ได้รับรางวัลจากส่วนกลาง ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคใต้ ในส่วนของกระทรวง พม. มีบุคลากรและหน่วยงานในสังกัด ได้รับรางวัล คือ 1. สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิษณุโลก (ทีมพัฒนาระบบ ESS Help Me พิษณุโลก) 2. คุณเยาวภา ล้อมณรงค์ นักพัฒนาสังคมชำนาญการพิเศษ ผู้อำนวยการสถานพัฒนาและฟื้นฟูเด็กจังหวัดหนองคาย และ 3. คุณเพ็ญจันทร์ ไมสัณ นักพัฒนาสังคมชำนาญการ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคใต้ จังหวัดสงขลา +นอกจากนี้ ยังมีบุคคลผู้มีชื่อเสียงในสังคมได้รับรางวัลครั้งนี้ อาทิ คุณลลิษา มโนบาล (ลิซ่า) ศิลปิน คุณสายสุนีย์ จ๊ะนะ นักกีฬาวีลแชร์ฟันดาบทีมชาติไทย คุณพาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ (เทนนิส) นักกีฬาเทควันโดหญิงทีมชาติไทย และ คุณวุฒิธร มิลินทจินดา (วู้ดดี้) พิธีกร +#ข่าวพม #พม #ศรส #esshelpme #1300 #วราวุธรับฟังทำจริง #พมพอใจให้ทุกวัยพึงพอใจในพม #พมหนึ่งเดียว #HERAWARDSTHAILAND2024 #2024 #UNFPA #พม + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88088 \ No newline at end of file diff --git "a/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\252\340\270\261\340\270\207\340\270\204\340\270\241 _3_3cec4041-a0b4-4a12-aaaa-0e6a914006c3.txt" "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\252\340\270\261\340\270\207\340\270\204\340\270\241 _3_3cec4041-a0b4-4a12-aaaa-0e6a914006c3.txt" new file mode 100644 index 00000000..4edfb3fc --- /dev/null +++ "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\252\340\270\261\340\270\207\340\270\204\340\270\241 _3_3cec4041-a0b4-4a12-aaaa-0e6a914006c3.txt" @@ -0,0 +1,12 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“วราวุธ” หนุน “นิคม Next : กระเสียวโมเดล” - ดึงเครือข่ายร่วมปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ - ลงนาม MOU เพิ่มประสิทธิภาพเชิงนิเวศน์เศรษฐกิจ (Eco-Efficiency) + + +วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 +“วราวุธ” หนุน “นิคม Next : กระเสียวโมเดล” - ดึงเครือข่ายร่วมปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ - ลงนาม MOU เพิ่มประสิทธิภาพเชิงนิเวศน์เศรษฐกิจ (Eco-Efficiency) +“วราวุธ” หนุน “นิคม Next : กระเสียวโมเดล” - ดึงเครือข่ายร่วมปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ - ลงนาม MOU เพิ่มประสิทธิภาพเชิงนิเวศน์เศรษฐกิจ (Eco-Efficiency) +วันที่ 17 กันยายน 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 19 ก.ย. 67 นี้ ตน และผู้บริหารกระทรวง พม. จะลงพื้นที่นิคมสร้างตนเองกระเสียว อำเภอด่านช้าง สุพรรณบุรี ร่วมกิจกรรมถอดบทเรียนการพัฒนาคุณภาพชีวิต การพัฒนาทุนมนุษย์ สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และส่งเสริมอัตลักษณ์ในนิคมสร้างตนเอง (นิคม Next : กระเสียวโมเดล) ซึ่งเป็นโครงการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตประชากรกลุ่มเป้าหมายพิเศษ ในพื้นที่นิคมสร้างตนเอง ประจำปี 2567 หรือ “นิคม Next : กระเสียวโมเดล” ซึ่งนิคมสร้างตนเองกระเสียว  เป็นพื้นที่ต้นแบบในการทำงานที่บูรณาการความร่วมมือจากทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม. และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในพื้นที่ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนงานพัฒนาสังคมในมิติต่าง ๆ ได้แก่ 1. พัฒนาทักษะและความรู้ด้านอาชีพ ก่อให้เกิดการสร้างรายได้ และมีเศรฐกิจหมุนเวียนในระดับพื้นที่ 2.เพิ่มคุณภาพการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชน 3.เสริมสร้างพลังให้แก่ผู้สูงอายุ ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพทางสังคมในปัจจุบัน 4.เพิ่มโอกาสและสร้างคุณค่าให้กับคนพิการอยู่ในสังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรี และ 5.สร้างระบบนิเวศที่เหมาะสมเพื่อพัฒนาความมั่นคงของครอบครัว +นายวราวุธ กล่าวว่า จากนั้นจะเดินทางไปยังพื้นที่เกษตรกรรมของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนโลกยิ้ม อำเภอหนองหญ้าไซ จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อเป็นประธานเปิดกิจกรรมจิตอาสาบำเพ็ญประโยชน์ “ปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567” จัดโดย สำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มุ่งเน้นให้บุคลากร สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนโลกยิ้ม และภาคีเครือข่าย เกิดความตระหนักรู้ถึงบทบาทหน้าที่ของการเป็นจิตอาสาเพื่อประชาชน รวมทั้งเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวนอกเขตอนุรักษ์ด้วย +นายวราวุธ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันเดียวกันนี้ ตนจะเป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) “โครงการเพิ่มประสิทธิภาพเชิงนิเวศน์เศรษฐกิจ (Eco-Efficiency)” ระหว่าง สำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) กับ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรือ โดยมีนายประสงค์ พันธ์ลิมา ผู้อำนวยการ สธค. และนางสุวรรณา เตียรถ์สุวรรณ ผู้อำนวยการ สพภ. เป็นผู้ลงนาม ณ ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลป่าสะแก อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งความร่วมมือครั้งนี้ จะได้บูรณาการการทำงานในการเสริมสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม การดำเนินธุรกิจที่ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม การสนับสนุนการพัฒนาชุมชนเชิงนิเวศ การส่งเสริมการทำอาชีพที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การพัฒนาองค์ความรู้ เชิงอนุรักษ์ในพื้นที่สีเขียวนอกเขตอนุรักษ์ และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนผ่านคุณค่าจากบริการระบบนิเวศ (Ecosystem Services) นำไปสู่การสร้างเศรษฐกิจเข้มแข็งของชุมชนอย่างยั่งยืนต่อไป +#ข่าวพม #พม #ศรส #esshelpme #1300 #วราวุธรับฟังทำจริง #พมพอใจให้ทุกวัยพึงพอใจในพม #พมหนึ่งเดียวรวมใจ #พม #กระเสียว #สุพรรณบุรี #ปลูกป่า #โครงการเพิ่มประสิทธิภาพเชิงนิเวศน์เศรษฐกิจ #สธค #พม + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88090 \ No newline at end of file diff --git "a/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\252\340\270\261\340\270\207\340\270\204\340\270\241 _4_b1f0d7a8-189c-44ec-811f-2ec7095d1f75.txt" "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\252\340\270\261\340\270\207\340\270\204\340\270\241 _4_b1f0d7a8-189c-44ec-811f-2ec7095d1f75.txt" new file mode 100644 index 00000000..e631e8bc --- /dev/null +++ "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\252\340\270\261\340\270\207\340\270\204\340\270\241 _4_b1f0d7a8-189c-44ec-811f-2ec7095d1f75.txt" @@ -0,0 +1,12 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“วราวุธ” รมว.พม. เล็งขยาย สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ในหน่วยงานรัฐ แบ่งเบาภาระบุคลากรดูแลบุตร + + +วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 +“วราวุธ” รมว.พม. เล็งขยาย สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ในหน่วยงานรัฐ แบ่งเบาภาระบุคลากรดูแลบุตร +“วราวุธ” รมว.พม. เล็งขยาย สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ในหน่วยงานรัฐ แบ่งเบาภาระบุคลากรดูแลบุตร +วันที่ 17 กันยายน 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เปิดเผยว่า สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เป็นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับข้อเสนอเชิงนโยบายวิกฤตประชากร หรือ นโยบาย 5x5 ฝ่าวิกฤตประชากร ข้อเสนอที่ระบุว่าการเพิ่มคุณภาพและผลิตภาพของเด็กและเยาวชน เด็กน้อยแต่เปี่ยมด้วยคุณภาพ มาตรการที่ 3 การมีศูนย์เด็กเล็กใกล้บ้านมีมาตรฐาน รับเด็กอายุน้อยลง มีความยืดหยุ่น ชุมชนช่วยจัดการได้ เป็นการจัดสวัสดิการที่เหมาะสมและได้มาตรฐานให้บุคลากรกระทรวง พม. ซึ่งสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย กระทรวง พม. นับเป็นต้นแบบสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยที่รับเด็กอายุน้อยลง และเป็นสวัสดิการสำหรับบุคลากรในหน่วยงานราชการ ทำให้บุตรหลานของบุคลากรได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพ และบุคลากรคลายกังวล ส่งผลให้มีความสุขในการทำงาน นำไปสู่การขยายผลการดำเนินงานไปสู่หน่วยงานราชการอื่น +นายวราวุธ กล่าวว่า อาคารสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย กระทรวง พม. เดิม เป็นศูนย์พัฒนาเด็กของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ดำเนินการตั้งแต่ พ.ศ 2558 เป็นต้นมา มีผู้เลี้ยงดูเด็ก จำนวน 7 คน ซึ่งปัจจุบันได้มอบภารกิจให้อยู่ในการกำกับดูแลของกรมกิจการเด็กและเยาวชน โดยได้มีการปรับปรุงอาคารทั้งภายในและภายนอกเพิ่มเติมเพื่อให้เหมาะสมกับการดูแลเด็กตามมาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติและเป็นต้นแบบสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนได้มาศึกษาแนวคิด รูปแบบ และนำไปจัดตั้งสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ให้สอดคล้องกับนโยบายเด็กเกิดน้อยเปี่ยมด้วยคุณภาพ โดยมีพื้นที่ใช้สอย 124.92 ตารางเมตร ประกอบด้วย ห้องสำหรับเด็ก จำนวน 2 ห้อง ห้องน้ำ จำนวน 2 ห้อง ห้องครัว ห้องทำงาน และห้องเก็บของเข้ารับเด็กอายุตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 6 ปี จำนวน 30 คน ซึ่งปัจจุบันมีเด็กรับบริการ 12 คน ผู้เลี้ยงดูแลเด็ก จำนวน 5 คน ซึ่งจบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาการศึกษาปฐมวัย โดยการดูแลเด็กนั้น ได้ใช้การจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบไฮสโคปและการเรียนรู้แบบมอนเตสซอรี่ เพื่อวางรากฐาน พัฒนาอารมณ์ จิตใจ รวมถึงการเรียนรู้สังคม สิ่งแวดล้อมรอบข้าง ส่งเสริมทักษะให้เด็กได้รู้จักพึ่งพาตนเอง +นายวราวุธ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการขยายสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยไปสู่หน่วยงานราชการอื่น กระทรวง พม. จะมีการขยายสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ไปยังหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. เพิ่ม 2 แห่ง ได้แก่ การเคหะแห่งชาติ และ  สำนักงานพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. อีกทั้งจะบูรณาการความร่วมมือกับ 3 กระทรวงหลัก ประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย ศึกษาธิการ และสาธารณสุข ในฐานะคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย เพื่อจัดตั้งสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในหน่วยงาน เพื่อแบ่งเบาภาระในการดูแลบุตรหลานของบุคลากรและเป็นการเพิ่มการพัฒนาศักยภาพของเด็กให้มีพัฒนาการเป็นไปตามวัยอย่างมีคุณภาพ +#ข่าวพม #พม #ศรส #esshelpme #1300 #วราวุธรับฟังทำจริง #พมพอใจให้ทุกวัยพึงพอใจในพม #พมหนึ่งเดียวรวมใจ #พม #สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย #ศูนย์เด็กเล็ก #การเคหะแห่งชาติ #พม #พอช + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88091 \ No newline at end of file diff --git "a/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\252\340\270\261\340\270\207\340\270\204\340\270\241 _5_9f3f14bf-8f9c-4755-979a-b25bfe3b3422.txt" "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\252\340\270\261\340\270\207\340\270\204\340\270\241 _5_9f3f14bf-8f9c-4755-979a-b25bfe3b3422.txt" new file mode 100644 index 00000000..6a5a1e34 --- /dev/null +++ "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\252\340\270\261\340\270\207\340\270\204\340\270\241 _5_9f3f14bf-8f9c-4755-979a-b25bfe3b3422.txt" @@ -0,0 +1,13 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. - ยธ. MOU เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ บน Digital Health Platform เพื่อการเข้าถึงบริการของผู้ต้องขัง + + +วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 +สธ. - ยธ. MOU เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ บน Digital Health Platform เพื่อการเข้าถึงบริการของผู้ต้องขัง +รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานพิธีลงนามความร่วมมือ ระหว่าง กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงยุติธรรม เชื่อมโยงข้อมูลบริการด้านสาธารณสุขบน Digital Health Platform ของ สธ. +เพื่อการเข้าถึงระบบบริการสาธารณสุขของผู้ต้องขังในเรือนจำอย่างทั่วถึง บุคลากรสุขภาพของทั้งสองหน่วยงานให้การรักษาผู้ป่วยได้อย่างต่อเนื่องไร้รอยต่อ +วันนี้ (17 กันยายน 2567) ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการเชื่อมโยงข้อมูลบริการด้านสาธารณสุข บน Digital Health Platform ของกระทรวงสาธารณสุข ระหว่าง นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กับ นางพงษ์สวาท  นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม โดยกล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองกระทรวง ในการส่งเสริมการดูแลสุขภาพของผู้ต้องขัง ทั้งในช่วงที่อยู่ในเรือนจำและหลังจากพ้นโทษ ซึ่งข้อมูลประวัติการรักษาที่ถูกต้องและครบถ้วนจะช่วยให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขสามารถวางแผนการรักษาและดูแลสุขภาพผู้ต้องขังได้อย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง ช่วยให้กลับมามีสุขภาพที่ดี และยังช่วยลดโอกาสในการแพร่กระจายของโรคในเรือนจำและในชุมชนหลังพ้นโทษ อีกทั้งเป็นการเสริมสร้างเครือข่ายการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานรัฐเพื่อความยั่งยืนด้านสุขภาพของผู้ต้องขังอีกด้วย +นพ.โอภาส กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้พัฒนาและจัดระบบบริการสาธารณสุขให้กับผู้ต้องขังในเรือนจำ เด็กและเยาวชนในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และ ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน อย่างต่อเนื่อง ตามโครงการราชทัณฑ์   ปันสุข ทำความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และพบว่า ยังมีปัญหาเรื่องการเชื่อมโยงข้อมูลด้านสุขภาพระหว่างโรงพยาบาลแม่ข่ายและเรือนจำ ทำให้ประชาชนกลุ่มนี้เข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขไม่เท่าเทียมกับประชาชนทั่วไป นำมาสู่การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ โดยกระทรวงสาธารณสุขจะทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาระบบข้อมูลกลาง บน Digital Health Platform ของกระทรวงสาธารณสุข ให้ก้าวหน้า ทันสมัย และมีประสิทธิภาพ สนับสนุนชุดความรู้และวิธีการใช้งานระบบข้อมูลกลางให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องในกระทรวงยุติธรรมสามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมจากบุคลากร หน่วยงาน และภาคีเครือข่ายทุกระดับ สนับสนุนให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ ประวัติการรักษา เพื่อประโยชน์ในการรักษาผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องไร้รอยต่อ แก่แพทย์ พยาบาล และบุคลากรสุขภาพของทั้งสองหน่วยงาน ภายใต้ความคุ้มครองของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสนับสนุนให้เกิดความมั่นคงปลอดภัยในการรักษาความลับ และการใช้ข้อมูลกลาง บน Digital Health Platform ของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อประโยชน์ในการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขของผู้รับบริการในทุกพื้นที่อย่างทั่วถึง +ด้าน นางพงษ์สวาท กล่าวว่า  กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม มีผู้ต้องขังในความควบคุมดูแลทั่วประเทศในเรือนจำและทัณฑสถาน 143 แห่ง ประมาณ 300,000 คน ซึ่งจะมีผู้ต้องขังรับตัวเข้าใหม่ในแต่ละปี ประมาณ 190,000 คน และปล่อยตัว 170,000 คน ข้อมูลด้านสุขภาพจึงเป็นข้อมูลที่สำคัญสำหรับการดูแลที่ต่อเนื่อง โดยภายใต้ขอบเขตความร่วมมือครั้งนี้ กระทรวงยุติธรรม จะสนับสนุนให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพและประวัติการรักษาของผู้รับบริการในระบบข้อมูลกลาง บน Digital Health Platform ของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อการรักษาอย่างต่อเนื่องไร้รอยต่อ แก่แพทย์ พยาบาล และบุคลากรสุขภาพทั้งสองหน่วยงาน ภายใต้ความคุ้มครองของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และจัดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยที่เหมาะสมในการบริหารจัดการข้อมูลสุขภาพ ประวัติการรักษา การนำเข้าข้อมูล การแสดงข้อมูลต่างๆ ในระบบข้อมูลกลาง รวมทั้งความปลอดภัยในการให้บริการ โดยไม่แสดงถึงการตีตราบุคคล รวมถึงไม่กระทบต่อความมั่นคงของเรือนจำ ตลอดจนจัดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของเรือนจำ ในการใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อการดำเนินการในระบบข้อมูลกลาง โดยไม่ขัดต่อระเบียบกฎหมาย               ที่เกี่ยวข้อง และสื่อสารถึงประโยชน์ของระบบข้อมูลกลาง ในการให้บริการด้านสาธารณสุข เพื่อให้ผู้รับบริการเข้าใจและยินยอม       ในการบันทึกข้อมูลส่วนบุคคลลงในระบบฯ ด้วยความสมัครใจ +********************************************************* 17 กันยายน 2567 + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88093 \ No newline at end of file diff --git "a/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\252\340\270\261\340\270\207\340\270\204\340\270\241 _6_1ee7bf01-4421-4d25-8418-18c041582f14.txt" "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\252\340\270\261\340\270\207\340\270\204\340\270\241 _6_1ee7bf01-4421-4d25-8418-18c041582f14.txt" new file mode 100644 index 00000000..a12a7c48 --- /dev/null +++ "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\270\252\340\270\261\340\270\207\340\270\204\340\270\241 _6_1ee7bf01-4421-4d25-8418-18c041582f14.txt" @@ -0,0 +1,13 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-2 รมต.สธ. ประชุมทางไกลติดตามสถานการณ์น้ำท่วม กำชับความพร้อมดูแลประชาชนและฟื้นฟูหลังน้ำลด + + +วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 +2 รมต.สธ. ประชุมทางไกลติดตามสถานการณ์น้ำท่วม กำชับความพร้อมดูแลประชาชนและฟื้นฟูหลังน้ำลด +รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ห่วงสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม ประชุมทางไกลหน่วยงานสาธารณสุขทุกจังหวัด กำชับติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด +เตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อดูแลประชาชน หลังน้ำลดให้เร่งดำเนินการตามแผนฟื้นฟูสถานพยาบาล สุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม ดูแลสุขภาพจิตผู้ประสบภัย และเฝ้าระวังโรคระบาดที่มากับน้ำท่วม +วันนี้ (17 กันยายน 2567) ที่ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหาร ประชุมทางไกลติดตามสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม กับผู้บริหารหน่วยงานในส่วนภูมิภาคทุกจังหวัด โดยนายสมศักดิ์กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยเรื่องการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัย รวมถึงภัยที่มาหลังน้ำท่วม เป็นอย่างมาก ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์และดูแลช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ ได้สั่งการให้ทุกพื้นที่ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เตรียมยาและเวชภัณฑ์ สำรวจกลุ่มเปราะบาง ผู้ป่วยติดเตียง และป้องกันสถานพยาบาลไม่ให้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม เพื่อให้สามารถดูแลประชาชนทั้งที่อยู่ในโรงพยาบาล ผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมาโรงพยาบาลได้ และในศูนย์พักพิง รวมทั้งส่วนกลางและจังหวัดข้างเคียงที่ไม่ได้รับผลกระทบยังได้เตรียมพร้อมให้การสนับสนุนด้วย +นายสมศักดิ์กล่าวต่อว่า สำหรับพื้นที่น้ำลด/สถานการณ์คลี่คลาย เช่น เชียงราย เชียงใหม่ ได้เน้นให้ดำเนินการตามแผนฟื้นฟูหลังน้ำลด ดูแลสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม ดูแลสุขภาพจิตผู้ประสบภัย ฟื้นฟูสถานพยาบาล และเฝ้าระวังโรคระบาดที่มากับน้ำท่วม เช่น อุจจาระร่วง ฉี่หนู ตาแดง รวมถึงให้คำแนะนำกับประชาชนในการสังเกตอาการ โดยภาพรวมยังคงมีสถานการณ์ใน 7 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย หนองคาย เลย บึงกาฬ นครพนม สตูล และพะเยา สถานบริการสาธารณสุขยังเปิดให้บริการได้ปกติทุกแห่ง มีการเปิดศูนย์พักพิงดูแลประชาชนรวม 57 แห่ง ที่ เชียงราย เชียงใหม่ เลย หนองคาย บึงกาฬ และพะเยา ผู้รับบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข รวม 17,848 คน ส่วนด้านสุขภาพจิต ตั้งแต่ 16 สิงหาคม – 15 กันยายน 2567 ให้การดูแล 23,212 คน พบภาวะเครียดสูง 548 คน เสี่ยงซึมเศร้า 81 คน เสี่ยงฆ่าตัวตาย 12 คน ส่งต่อพบแพทย์ 133 คน ทั้งหมดได้รับการติดตามอย่างต่อเนื่อง +นายสมศักดิ์กล่าวอีกว่า ขณะนี้กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกได้เร่งผลิตยา “บาทาพิทักษ์” ซึ่งเป็นยารักษาโรคน้ำกัดเท้า จากสมุนไพรทองพันชั่ง ขมิ้นชัน พญายอ และอื่นๆ ซึ่งที่ผ่านมากรมฯ ได้สนับสนุนยาช่วยเหลือพื้นที่ประสบอุทกภัยแล้ว ดังนี้ ยาบาทาพิทักษ์ 25,484 ขวด สเปรย์ตะไคร้หอมกันยุง 9,000 ขวด ยานวดไพล 500 ชิ้น นอกจากนี้ ยังมอบชุดผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรที่จำเป็นในช่วงอุทกภัย ได้แก่ กลุ่มแก้อาการไข้ เช่น ยาฟ้าทะลายโจร ยาห้าราก ยาประสะจันทร์แดง ยาจันทลีลา, ยาปราบชมพูทวีป บรรเทาอาการหวัด แพ้อากาศ, ยามันฑธาตุ แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ, ยาธาตุบรรจบ แก้อาการท้องเสีย ชนิดไม่ติดเชื้อ รวมทั้งสิ้น 28,250 ชุด +************************************************************ 17 กันยายน 2567 + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88103 \ No newline at end of file diff --git "a/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\271\200\340\270\250\340\270\243\340\270\251\340\270\220\340\270\201\340\270\264\340\270\210 _1_2200c90e-83e5-4783-ae98-6f63c906235e.txt" "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\271\200\340\270\250\340\270\243\340\270\251\340\270\220\340\270\201\340\270\264\340\270\210 _1_2200c90e-83e5-4783-ae98-6f63c906235e.txt" new file mode 100644 index 00000000..54ec767a --- /dev/null +++ "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\271\200\340\270\250\340\270\243\340\270\251\340\270\220\340\270\201\340\270\264\340\270\210 _1_2200c90e-83e5-4783-ae98-6f63c906235e.txt" @@ -0,0 +1,14 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรร่วมเสวนาในการประชุม WTO Public Forum 2024 เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า ก้าวสู่ศุลกากรในยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ + + +วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 +17/09/2567 +พิมพ์ +กรมศุลกากรร่วมเสวนาในการประชุม WTO Public Forum 2024 เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า ก้าวสู่ศุลกากรในยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ +กรมศุลกากรร่วมการประชุม WTO Public Forum 2024 และร่วมเสวนาในหัวข้อ “Leveraging Digitalization in Customs for Inclusive Trade” ณ เมืองเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส +เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 นายนิติ วิทยาเต็ม รองอธิบดีกรมศุลกากร เป็นผู้แทนกรมศุลกากร เข้าร่วมการประชุม WTO Public Forum 2024 และร่วมเสวนาในหัวข้อ “Leveraging Digitalization in Customs for Inclusive Trade” กับ Mr. Ian Saunders เลขาธิการองค์การศุลกากรโลก Ms. Angela Ellard รองผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก และ Ms. Valerie Picard หัวหน้าคณะกรรมาธิการด้านการค้าหอการค้านานาชาติ เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในงานศุลกากร พร้อมปรับปรุงพิธีการศุลกากรให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมถึงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าให้กับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อย ณ เมืองเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส +นายนิติ วิทยาเต็ม รองอธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ปัจจุบัน กรมศุลกากรดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ "องค์กรศุลกากรชั้นนำ ที่มุ่งส่งเสริมความยั่งยืนของเศรษฐกิจและความปลอดภัยของสังคม ด้วยนวัตกรรมและบริการที่เป็นเลิศ" ได้เผยแพร่ความสำเร็จในการปรับใช้ระบบเทคโนโลยีดิจิทัล ด้วยระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ของไทย (Thai Customs Electronic System: TCES) ซึ่งเป็นระบบศุลกากรไร้เอกสาร ที่สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยใช้มาตรฐานของ ebXML ผ่านระบบ National Single Window (NSW) และพัฒนาอย่างครอบคลุมทั้ง 7 ส่วน ได้แก่ การบริการศุลกากร การตรวจปล่อยสินค้า การจัดการขนส่ง การจัดการความเสี่ยง การบริหารข้อมูล สิทธิประโยชน์ รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยซึ่งระบบนี้ช่วยยกระดับการทำงานและการบริการด้านศุลกากรอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น ข้อจำกัดด้านงบประมาณ การสร้างความตระหนักรู้ไปสู่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และการทำงานร่วมกันระหว่างหลายแพลตฟอร์มดิจิทัล +สำหรับประเด็นการสนับสนุน MSMEs กรมศุลกากรได้ออกแบบระบบดิจิทัล เช่น ระบบตรวจคัดเลือกและประเมินผลผู้ประกอบการระดับมาตรฐานเออีโอ (AEO) ซึ่งช่วยให้ MSMEs ได้รับสิทธิประโยชน์ในการทำการค้าระหว่างประเทศที่มีความปลอดภัย ระบบพิธีการศุลกากรพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) และระบบติดตามพิธีการศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tracking) ที่เปิดโอกาสให้ MSMEs สามารถเข้าถึงตลาดการค้าระหว่างประเทศได้มากขึ้น และยังมีส่วนในการเพิ่มปริมาณการค้าระหว่างประเทศอีกด้วย +นายนิติฯ กล่าวต่ออีกว่า กรมศุลกากรกำลังวางแผนโครงการ Big Data เพื่อยกระดับการให้บริการและการจัดการข้อมูลในอนาคต นอกจากนี้ กรมศุลกากรยังมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการเชื่อมโยงข้อมูลในระดับภูมิภาคที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าส่งออกภายใต้ ASEAN Single Window (ASW) ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ อาทิ หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าของอาเซียน (ATIGA e-Form D) และข้อมูลใบขนสินค้าอาเซียน (ASEAN Customs Declaration Document: ACDD) เป็นต้น เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการดำเนินงานด้านศุลกากรในระดับภูมิภาค ต่อไป + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88075 \ No newline at end of file diff --git "a/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\271\200\340\270\250\340\270\243\340\270\251\340\270\220\340\270\201\340\270\264\340\270\210 _2_21430111-a8c5-4c11-96ba-ee698f393188.txt" "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\271\200\340\270\250\340\270\243\340\270\251\340\270\220\340\270\201\340\270\264\340\270\210 _2_21430111-a8c5-4c11-96ba-ee698f393188.txt" new file mode 100644 index 00000000..e6b30c43 --- /dev/null +++ "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\271\200\340\270\250\340\270\243\340\270\251\340\270\220\340\270\201\340\270\264\340\270\210 _2_21430111-a8c5-4c11-96ba-ee698f393188.txt" @@ -0,0 +1,12 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เกษตรฯ พร้อม 2 รัฐมนตรีช่วยฯ ถือฤกษ์ 08.19 น. เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ + + +วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 +รมว.เกษตรฯ พร้อม 2 รัฐมนตรีช่วยฯ ถือฤกษ์ 08.19 น. เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ +รมว.เกษตรฯ พร้อม 2 รัฐมนตรีช่วยฯ ถือฤกษ์ 08.19 น. เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ +ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เดินทางเข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งถือฤกษ์ในเวลา 08.19 น. เข้าสักการะห้องพิรุณ 130 (ห้องพระ อาคาร 1 ชั้น 4) สักการะศาลพระภูมิชัยมงคล สักการะศาลท้าวเวสสุวรรณ สักการะศาลตา – ยาย สักการะองค์พระพิรุณทรงนาค (หน้าอาคาร) และสักการะองค์พระพิรุณทรงนาค (ห้องพิพิธภัณฑ์) ก่อนถ่ายภาพร่วมกับผู้บริหาร ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ บริเวณหน้าอาคารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ +รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า จากการประชุมศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัย นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำในเรื่องเร่งด่วน ทั้งในเรื่องการสำรวจความเสียหายของพี่น้องประชาชนในแต่ละพื้นที่ และความรวดเร็วในการเยียวยาพี่น้องประชาชน โดยจะหารือถึงวิธีการให้สามารถชดเชยความเสียให้กับพี่น้องประชาชนให้มากที่สุด ในเบื้องต้นที่ประชุมได้มีการเสนอในเรื่องการลดค่าน้ำค่าไฟให้พื้นที่ที่ประสบอุทกภัย รวมถึงการแก้ไขปัญหาระยะยาว โดยให้มีการป้องกันมากกว่าการเยียวยา ซึ่งถือเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาล +ในส่วนของกระทรวงเกษตรฯ พร้อมให้การสนับสนุนและเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนโครงการสำคัญของรัฐบาล จึงขอให้ทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมมือกันและรับฟังเสียงจากทุกฝ่ายให้รอบด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการขนาดใหญ่ ได้ขอให้มอบหมายรองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลเรื่องการบริหารจัดการน้ำ เป็นประธานคณะกรรมการที่จะศึกษาทบทวนโครงการต่าง ๆ ที่กรมชลประทานได้เคยศึกษาไว้ เพื่อนำมาปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงจัดลำดับความสำคัญ เพื่อให้การดำเนินโครงการขนาดใหญ่สำเร็จลุล่วง จึงจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน รวมถึงเครื่องมือในการบริหารจัดการน้ำ มุ่งหวังว่าโครงการต่าง ๆ ของกระทรวงเกษตรฯ จะเป็นโครงการของรัฐบาล ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ พร้อมจะเข้าไปเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน และขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในเรื่องการขออนุญาตใช้พื้นที่ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่จะสนับสนุนให้โครงการต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ และสิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ถึงความจำเป็น โดยต้องรับฟังเสียงของพี่น้องประชาชน ทั้งข้อดี ข้อเสีย และการชดเชยต่าง ๆ +สำหรับการแก้ไขในระยะเร่งด่วน กรมชลประทานได้รายงานสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยติดตามการพยากรณ์ เพื่อส่งต่อข้อมูลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตือนภัยต่อพี่น้องประชาชน นอกจากนี้ กรมชลประทานยังได้ตรวจสอบความพร้อมในเรื่องของประตูระบายน้ำและคันกันน้ำ จึงขอให้ความมั่นใจว่าประตูระบายน้ำและคันกันน้ำมีความเข้มแข็งและป้องกันได้อย่างแน่นอน + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88076 \ No newline at end of file diff --git "a/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\271\200\340\270\250\340\270\243\340\270\251\340\270\220\340\270\201\340\270\264\340\270\210 _3_4d898bed-1995-4840-b14a-9f71ed702ed2.txt" "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\271\200\340\270\250\340\270\243\340\270\251\340\270\220\340\270\201\340\270\264\340\270\210 _3_4d898bed-1995-4840-b14a-9f71ed702ed2.txt" new file mode 100644 index 00000000..8ec4f1b4 --- /dev/null +++ "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\271\200\340\270\250\340\270\243\340\270\251\340\270\220\340\270\201\340\270\264\340\270\210 _3_4d898bed-1995-4840-b14a-9f71ed702ed2.txt" @@ -0,0 +1,49 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ + + +วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 +17/09/2567 +พิมพ์ +โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ +เมื่อวันที่ 17 ก.ย.2567 ครม.มีมติเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ ตามที่นายกฯ ได้แถลงนโยบายของ ครม.ต่อรัฐสภา โดยมีนโยบายสำคัญที่จะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย +นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ (โครงการฯ) ตามที่นายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา โดยมีนโยบายสำคัญที่จะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ควบคู่กับการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบางเป็นลำดับแรก +คณะรัฐมนตรีเล็งเห็นว่า เนื่องจากในปี 2567 คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะมีอัตราการขยายตัวที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต และต่ำกว่าอัตราการขยายตัวตามศักยภาพ (Potential Growth) และประเทศในภูมิภาค นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ เช่น การหดตัวของผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรมในช่วงครึ่งปีแรก การหดตัวของการบริโภคสินค้าคงทุนในช่วง 7 เดือนแรกของปี ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ผู้ผลิตอุตสาหกรรมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมลดลงอย่างต่อเนื่อง หนี้ภาคครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ เป็นต้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวทำให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยและคนพิการที่มีกำลังซื้อที่อ่อนแอได้รับผลกระทบเป็นกลุ่มแรก ๆ คณะรัฐมนตรีจึงมีความจำเป็นที่ต้องดำเนินโครงการฯ เพื่อเร่งการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพ เพิ่มกำลังซื้อ และเพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว โดยมีสาระสำคัญของโครงการฯ ดังนี้ +1. โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพและเพิ่มศักยภาพของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (โครงการลงทะเบียนฯ) ปี 2565  ให้มีโอกาสเข้าถึงการใช้จ่ายที่จำเป็นในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพิ่มการบริโภคและกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ โดยรัฐจะสนับสนุนเงินจำนวน 10,000 บาทต่อคน ผ่านบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชนหรือผ่านบัญชีเงินฝากธนาคารตามที่ได้แจ้งความประสงค์เป็นหนังสือ ณ สำนักงานคลังจังหวัดหรือกรมบัญชีกลาง (เฉพาะกรณีผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป) ให้แก่กลุ่มเป้าหมายจำนวนประมาณ 12.40 ล้านราย ประกอบด้วย +1.1 ผู้ที่ผ่านคุณสมบัติโครงการลงทะเบียนฯ ปี 2565 ที่ได้ยืนยันตัวตน (e-KYC) สำเร็จแล้วตามฐานข้อมูลของกระทรวงการคลัง และไม่เป็นคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการตามฐานข้อมูลของกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) +1.2 ผู้ที่ผ่านคุณสมบัติโครงการลงทะเบียนฯ ปี 2565 ที่ได้ e-KYC สำเร็จแล้ว เป็นคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการที่หมดอายุ ตามฐานข้อมูลของ พก. พม. +1.3 ผู้ที่ผ่านคุณสมบัติโครงการลงทะเบียนฯ ปี 2565 ที่ได้ e-KYC สำเร็จแล้ว เป็นคนพิการที่ได้รับเงินเบี้ยความพิการ ตามฐานข้อมูลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) และเมืองพัทยา แต่ไม่อยู่ในฐานข้อมูลของ พก. พม. +ทั้งนี้ จะใช้ข้อมูล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2567 ซึ่งไม่รวมถึงผู้ที่ผ่านคุณสมบัติโครงการลงทะเบียนฯ ปี 2565 ที่ได้ยืนยันตัวตน (e-KYC) สำเร็จ และเป็นบุคคลที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ในสังกัด พม. ตามที่ พม. ได้ยืนยันข้อมูลดังกล่าวให้กรมบัญชีกลาง +2. โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านคนพิการ มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพและเพิ่มศักยภาพของคนพิการซึ่งเป็นผู้เปราะบางที่ขาดความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ให้มีโอกาสเข้าถึงการใช้จ่ายที่สามารถสนองตอบต่อความต้องการและความจำเป็นของคนพิการแต่ละประเภทในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพิ่มการบริโภคและกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ โดยรัฐจะสนับสนุนเงินจำนวน 10,000 บาทต่อคน ผ่าน 2 ช่องทาง ได้แก่ (1) ช่องทางการรับเงินเบี้ยความพิการที่ได้รับข้อมูลจาก อปท. กทม. และเมืองพัทยา (2) บัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชนของคนพิการ (กรณีไม่ปรากฏข้อมูลช่องทางการรับเงินเบี้ยความพิการตามข้อ (1)) ให้แก่กลุ่มเป้าหมายจำนวนประมาณ 2.15 ล้านราย ประกอบด้วย +2.1 คนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการที่ยังไม่หมดอายุ ตามฐานข้อมูลของ พก. พม. +2.2 คนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการที่หมดอายุ ตามฐานข้อมูลของ พก. พม. และไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งจะต้องต่ออายุบัตรประจำตัวคนพิการภายในวันที่ 3 ธันวาคม 2567 และ พก. แจ้งยืนยันข้อมูลดังกล่าวให้กรมบัญชีกลางทราบ จึงจะได้รับสิทธิ +2.3 คนพิการที่ไม่มีบัตรประจำตัวคนพิการในฐานข้อมูลของ พก. พม. แต่ได้รับเงินเบี้ยความพิการตามฐานข้อมูลของ อปท. กทม. และเมืองพัทยา และไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งจะต้องทำบัตรประจำตัวคนพิการ ภายในวันที่ 3 ธันวาคม 2567 และ พก. แจ้งยืนยันข้อมูลดังกล่าวให้กรมบัญชีกลางทราบ จึงจะได้รับสิทธิ +2.4 คนพิการที่ไม่มีบัตรประจำตัวคนพิการในฐานข้อมูลของ พก. พม. แต่ได้รับเงินเบี้ยความพิการตามฐานข้อมูลของ อปท. กทม. และเมืองพัทยา มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและไม่ได้ยืนยันตัวตน (e-KYC) ภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2567 ตามฐานข้อมูลโครงการลงทะเบียนฯ ปี 2565 ของกระทรวงการคลัง ซึ่งจะต้องทำบัตรประจำตัวคนพิการภายในวันที่ 3 ธันวาคม 2567 และ พก. แจ้งยืนยันข้อมูลดังกล่าวให้กรมบัญชีกลางทราบ จึงจะได้รับสิทธิ +ทั้งนี้ จะใช้ข้อมูล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2567 และไม่รวมถึงคนพิการที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ในสังกัด พม. ตามที่ยืนยันข้อมูลคนพิการดังกล่าวให้กรมบัญชีกลาง +สำหรับการดำเนินการทั้ง 2 โครงการ กระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางจะเริ่มทยอยจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมายตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2567 เป็นต้นไป โดยขณะนี้กระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางได้เตรียมความพร้อมที่จะจ่ายเงิน ดังนี้ +วัน เดือน ปี    กลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับเงิน +25 กันยายน 2567    คนพิการ และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีเลขประจำตัวประชาชนหลักสุดท้ายเป็นเลข 0 +26 กันยายน 2567    ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีเลขประจำตัวประชาชนหลักสุดท้ายเป็นเลข 1-3 +27 กันยายน 2567    ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีเลขประจำตัวประชาชนหลักสุดท้ายเป็นเลข 4-7 +30 กันยายน 2567    ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีเลขประจำตัวประชาชนหลักสุดท้ายเป็นเลข 8-9 +หมายเหตุ: คนพิการ หมายถึง ผู้ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านคนพิการ +ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หมายถึง ผู้ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ +ทั้งนี้ ในกรณีที่จ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมายไม่สำเร็จในครั้งแรก จะมีการดำเนินการจ่ายเงินซ้ำ (Retry) ให้แก่กลุ่มเป้าหมายดังกล่าวจำนวน 3 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 ภายในวันที่ 22 ตุลาคม 2567 ครั้งที่ 2 ภายในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 และครั้งที่ 3 ภายในวันที่ 22 ธันวาคม 2567 โดยเมื่อพ้นกำหนดการ Retry ครั้งที่ 3 แล้ว จะยุติการจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมาย และถือว่ากลุ่มเป้าหมายไม่ประสงค์รับเงินภายใต้โครงการ +รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายใต้โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว รัฐจะสนับสนุนเงินจำนวน 10,000 บาทต่อคน ให้แก่กลุ่มเป้าหมายรวมจำนวนประมาณ 14.55 ล้านราย ซึ่งสามารถนำไปใช้จ่ายซื้อสินค้าที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตโดยไม่จำกัดประเภทร้านค้า โดยจะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพและเพิ่มศักยภาพให้ประชาชนกลุ่มดังกล่าวให้มีโอกาสเข้าถึงการใช้จ่ายที่จำเป็นเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ตลอดจนเพิ่มการบริโภคที่จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบและกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศในช่วงปลายปี 2567 ได้อย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าการมีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวน 145,552.40 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.35 ต่อปี เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีโครงการ นอกจากนี้ เมื่อผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้น จะช่วยก่อให้เกิดการผลิต การค้าขาย การจ้างงาน และการคมนาคมขนส่งตามมา ซึ่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นจะเอื้อให้ภาครัฐสามารถจัดเก็บภาษีอากรได้เพิ่มขึ้นในระยะต่อไป +นอกจากนี้ ยังได้กล่าวเน้นย้ำให้กลุ่มเป้าหมายตามโครงการดำเนินการตรวจสอบบัญชีธนาคารที่ผูกพร้อมเพย์กับเลขประจำตัวประชาชนว่ายังสามารถใช้งานได้หรือไม่ หรือหากยังไม่ได้ผูกพร้อมเพย์ขอให้ดำเนินการผูกพร้อมเพย์ด้วยเลขประจำตัวประชาชน และสำหรับคนพิการที่ไม่มีบัตรประจำตัวคนพิการหรือบัตรประจำตัวคนพิการหมดอายุ ขอให้ดำเนินการทำบัตรหรือต่ออายุบัตรให้เรียบร้อยภายในวันที่ 3 ธันวาคม 2567 เพื่อรับสิทธิตามโครงการดังกล่าว +ช่องทางหลักในการตรวจสอบสิทธิและผลการได้รับเงินในโครงการ โดยสามารถตรวจสอบสิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน 2567 เป็นต้นไป +1. เว็บไซต์ https://โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ2567.cgd.go.th +2. เว็บไซต์ https://govwelfare.cgd.go.th +3. เว็บไซต์ https://govwelfare.dep.go.th/check (เฉพาะคนพิการ) +4. แอปพลิเคชัน "รัฐจ่าย" (โดยกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง) +5. ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผ่านระบบตอบรับอัตโนมัติ โทร. 0 2109 2345 กด 1 กด 5 ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการและวันนักขัตฤกษ์ 24 ชั่วโมง +ช่องทางติดต่อสอบถามเพิ่มเติม +1. คนพิการ +1.1 ศูนย์ช่วยเหลือสังคม พม. โทรศัพท์สายด่วน (Call Center) 1300 +1.2 พก. โทร. 0 2354 3388 ต่อ 701 - 702 (หน่วยงานออกบัตรประจำตัวคนพิการ) +1.3 ศูนย์บริการคนพิการจังหวัดทั่วประเทศ ตั้งแต่วันจันทร์ - วันศุกร์ ระหว่างเวลา 08.30 น. - 16.30 น. ยกเว้นวันหยุดราชการ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบสถานที่ตั้งและเบอร์โทรศัพท์ของศูนย์บริการคนพิการแต่ละแห่งได้ทางเว็บไซต์ www.dep.go.th/th/contact-us/dsc-contactcenter +1.4 อปท. กทม. หรือเมืองพัทยา ที่คนพิการรับเงินเบี้ยความพิการ ตั้งแต่วันจันทร์ - วันศุกร์ ระหว่างเวลา 08.30 น. - 16.30 น. ยกเว้นวันหยุดราชการ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ +2. ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ +2.1 ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โทร. 0 2109 2345 ตั้งแต่วันจันทร์ - วันศุกร์ ระหว่างเวลา 08.30 น. - 17.30 น. ยกเว้นวันหยุดราชการ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ +2.2 Call Center กรมบัญชีกลาง โทร. 0 2270 6400 ตั้งแต่วันจันทร์ - วันศุกร์ ระหว่างเวลา 08.30 น. - 16.30 น. ยกเว้นวันหยุดราชการ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88081 \ No newline at end of file diff --git "a/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\271\200\340\270\250\340\270\243\340\270\251\340\270\220\340\270\201\340\270\264\340\270\210 _4_4e384568-9b97-46e2-9cd5-c0afd75b7560.txt" "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\271\200\340\270\250\340\270\243\340\270\251\340\270\220\340\270\201\340\270\264\340\270\210 _4_4e384568-9b97-46e2-9cd5-c0afd75b7560.txt" new file mode 100644 index 00000000..5b43e419 --- /dev/null +++ "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\271\200\340\270\250\340\270\243\340\270\251\340\270\220\340\270\201\340\270\264\340\270\210 _4_4e384568-9b97-46e2-9cd5-c0afd75b7560.txt" @@ -0,0 +1,13 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. เปิดเดินรถโดยสาร “หนองคาย - เวียงจันทน์” ตามปกติ แจ้งเปลี่ยนจุดรับ - ส่งผู้โดยสาร ไปที่บริเวณศูนย์โอทอป จังหวัดหนองคาย หลังน้ำท่วม พร้อมรวมน้ำใจส่งมอบถุงยังชีพ - น้ำดื่ม + + +วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 +บขส. เปิดเดินรถโดยสาร “หนองคาย - เวียงจันทน์” ตามปกติ แจ้งเปลี่ยนจุดรับ - ส่งผู้โดยสาร ไปที่บริเวณศูนย์โอทอป จังหวัดหนองคาย หลังน้ำท่วม พร้อมรวมน้ำใจส่งมอบถุงยังชีพ - น้ำดื่ม +..... +นายอรรถวิท รักจำรูญ กรรมการฯ รักษาการแทนกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า วันนี้ (17 กันยายน 2567) ได้รับรายงานจากสถานีเดินรถหนองคายว่า ขณะนี้ภายในสถานีขนส่งผู้โดยสาร จังหวัดหนองคาย และสถานีเดินรถหนองคายมีน้ำท่วม จากสถานการณ์น้ำโขงเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่จังหวัดหนองคาย ส่งผลให้รถโดยสารไม่สามารถเข้าใช้สถานีขนส่งฯ ได้ จึงให้รถโดยสารเส้นทาง กรุงเทพฯ - หนองคาย +รับ - ส่งผู้โดยสารบริเวณศูนย์โอทอป จังหวัดหนองคาย เป็นการชั่วคราว +ขณะเดียวกันในวันนี้ได้เปิดให้บริการรถโดยสารระหว่างประเทศ เส้นทางหนองคาย - นครหลวงเวียงจันทน์ +ตามปกติ เพื่ออำนวยความสะดวกและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้โดยสาร โดยกำหนดให้จุดจอด  รับ - ส่งผู้โดยสาร บริเวณศูนย์โอทอป จังหวัดหนองคาย เป็นการชั่วคราว เช่นเดียวกันกับรถโดยสารประเภทอื่น หลังจากก่อนหน้านี้ บขส. และผู้ประกอบการเดินรถของ สปป.ลาว ได้หยุดให้บริการเดินรถโดยสารชั่วคราว เนื่องจากสถานการณ์อุทกภัย นอกจากนี้ บขส. ได้ระดมพนักงานร่วมแรงร่วมใจจัดทำถุงยังชีพ 300 ชุด ในกิจกรรม “บขส. ปันน้ำใจช่วยน้ำท่วมภาคอีสาน” พร้อมน้ำดื่ม 350 แพค เพื่อนำไปแจกจ่ายให้ประชาชนผู้ประสบภัยอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดหนองคาย +สำหรับถุงยังชีพจะมีสิ่งของที่จำเป็นในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น อาหารแห้ง ปลากระป๋อง ผักกาดดอง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และกระดาษชำระ เป็นต้น + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88083 \ No newline at end of file diff --git "a/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\271\200\340\270\250\340\270\243\340\270\251\340\270\220\340\270\201\340\270\264\340\270\210 _5_d2fb917e-9fad-41db-95df-fd3391a9a43a.txt" "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\271\200\340\270\250\340\270\243\340\270\251\340\270\220\340\270\201\340\270\264\340\270\210 _5_d2fb917e-9fad-41db-95df-fd3391a9a43a.txt" new file mode 100644 index 00000000..d1a2bbf8 --- /dev/null +++ "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\271\200\340\270\250\340\270\243\340\270\251\340\270\220\340\270\201\340\270\264\340\270\210 _5_d2fb917e-9fad-41db-95df-fd3391a9a43a.txt" @@ -0,0 +1,11 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรี "ศุภมาส" ห่วงใยประชาชนพื้นที่น้ำท่วมเชียงราย ส่งทีมผู้บริหาร พร้อมหน่วยปฏิบัติการผู้พันวิทย์ อว. ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน พร้อมสิ่งของเครื่องใช้ อาหารแห้งและเวชภัณฑ์ + + +วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 +รัฐมนตรี "ศุภมาส" ห่วงใยประชาชนพื้นที่น้ำท่วมเชียงราย ส่งทีมผู้บริหาร พร้อมหน่วยปฏิบัติการผู้พันวิทย์ อว. ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน พร้อมสิ่งของเครื่องใช้ อาหารแห้งและเวชภัณฑ์ +รัฐมนตรี "ศุภมาส" ห่วงใยประชาชนพื้นที่น้ำท่วมเชียงราย ส่งทีมผู้บริหาร พร้อมหน่วยปฏิบัติการผู้พันวิทย์ อว. ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน พร้อมสิ่งของเครื่องใช้ อาหารแห้งและเวชภัณฑ์ +วันที่ 14 กันยายน 2567 นางสาวศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า ตนมีความเป็นห่วงสถานการณ์น้ำท่วมพื้นที่เชียงรายและห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจึงได้ระดมสรรพกำลังจากทุกหน่วยงานในกระทรวง อว. พร้อมทั้งภาคีเครือข่ายและภาคส่วนต่าง ๆ นำสิ่งของอุปโภค บริโภค ยา เวชภัณฑ์ ตลอดจนเครื่องใช้ที่จำเป็นเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ อำเภอแม่สาย และ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย รวมถึงพื้นที่อื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบ โดยให้ ดำเนินการแจกจ่ายให้ถึงมือประชาชนโดยเร็วที่สุดและต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ และได้มอบหมายให้ ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดฯ อว. นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์บริการ ดร.พจมาน ท่าจีน รองอธิบดีกรมวิทย์ฯบริการ นายวันนี นนท์ศิริ ผู้ช่วยปลัดฯ อว. พร้อมหน่วยปฏิบัติการผู้พันวิทย์ อว. เดินทางลงพื้นที่ จังหวัดเชียงราย เพื่อสนับสนุนการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ณ ศูนย์พักพิงชั่วคราวช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.ชร.) พร้อมหารือแนวทางช่วยเหลือและฟื้นฟูกับ ผศ.ดร.ศรชัย มุ่งไธสง อธิการบดี มรภ.ชร. และทีมบริหารมหาวิทยาลัยฯ รวมถึงหน่วยงานบูรณการในจังหวัด และได้ลงพื้นที่เยี่ยมประชาชน ณ บ้านปางลาว บ้านป่ากุ๊ก และบ้านสันป่าแตง รับฟังปัญหาเพื่อวางแผนการช่วยเหลือต่อไป +นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ อธิบดีกรมวิทย์ฯ บริการ กล่าวว่า ตนในฐานะประธานคณะทำงานให้การช่วยเหลือและบรรเทาสาธารณะภัยจากน้ำท่วม และผู้อำนวยการศูนย์ปฎิบัติการผู้พันวิทย์ได้นำหน่วยปฏิบัติการผู้พันวิทย์ อว. เข้าพื้นที่เชียงรายเพื่อประเมินสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือร่วมกับหน่วยปฏิบัติการมหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงรายซึ่งปฏิบัติหน้าที่ อว. ส่วนหน้า ทำงานอยู่ในพื้นที่ ทั้งนี้การให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ตามที่ท่าน รมว.ศุภมาสฯ ได้สั่งการให้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้าไปให้ความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็น กองทัพโดรนบินสำรวจในพื้นที่ที่เข้าถึงยาก โดรนลำเลียงสิ่งของทั้งยา เวชภัณฑ์ อาหาร เครื่องอุปโภค บริโภค พร้อมเปิดแอพแจ้งเตือนภัยเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์น้ำ ตลอดจนเปิดพื้นที่ของมหาวิทยาลัยเพื่อเป็นศูนย์บรรเทาและพักพิงให้ผู้ได้รับผลกระทบ รวมถึงหน่วยปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือเชิงรุกลงปฏิบัติการในพื้นที่ประสบอุทกภัย +นายแพทย์รุ่งเรืองฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง อว. ได้นำความช่วยเหลือไปถึงมือพี่น้องประชาชนใน จังหวัดเชียงราย และพื้นที่อื่น ๆ ที่ได้รับผลกระทบ โดยศูนย์ปฎิบัติการสถานการณ์น้ำท่วมของ อว. จะทำงานอย่างต่อเนื่องและพร้อมนำความช่วยเหลือลงไปในทุกพื้นที่ที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88087 \ No newline at end of file diff --git "a/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\271\200\340\270\250\340\270\243\340\270\251\340\270\220\340\270\201\340\270\264\340\270\210 _6_1f9ce8ab-8dc9-4012-baab-b02f2f4cdb8b.txt" "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\271\200\340\270\250\340\270\243\340\270\251\340\270\220\340\270\201\340\270\264\340\270\210 _6_1f9ce8ab-8dc9-4012-baab-b02f2f4cdb8b.txt" new file mode 100644 index 00000000..7732c876 --- /dev/null +++ "b/data/2024/09/17/\340\270\224\340\271\211\340\270\262\340\270\231\340\271\200\340\270\250\340\270\243\340\270\251\340\270\220\340\270\201\340\270\264\340\270\210 _6_1f9ce8ab-8dc9-4012-baab-b02f2f4cdb8b.txt" @@ -0,0 +1,12 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คณะรัฐมนตรีขยายเวลาลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เหลือ 7% ออกไปถึงวันที่ 30 กันยายน 2568 + + +วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 +17/09/2567 +พิมพ์ +คณะรัฐมนตรีขยายเวลาลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เหลือ 7% ออกไปถึงวันที่ 30 กันยายน 2568 +คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 เห็นชอบขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือร้อยละ 7 (รวมภาษีท้องถิ่น) ออกไปอีก 1 ปี สำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2568 +ดร.กุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า “กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรตระหนักถึงความสำคัญต่อความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือร้อยละ 7 (รวมภาษีท้องถิ่น) ออกไปอีก 1 ปี สำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือ    การนำเข้าทุกกรณี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2568 เพื่อรักษาระดับการขยายตัวของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ ภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนไม่มีภาระทางภาษีเพิ่มขึ้น อันจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ตามเป้าหมาย +หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88095 \ No newline at end of file diff --git "a/data/2024/09/17/\340\270\227\340\270\261\340\270\231 LINE \340\271\204\340\270\227\340\270\242\340\270\204\340\270\271\340\271\210\340\270\237\340\271\211\340\270\262 _1_6462ae4f-67d1-41d7-996e-1ef8849a393c.txt" "b/data/2024/09/17/\340\270\227\340\270\261\340\270\231 LINE \340\271\204\340\270\227\340\270\242\340\270\204\340\270\271\340\271\210\340\270\237\340\271\211\340\270\262 _1_6462ae4f-67d1-41d7-996e-1ef8849a393c.txt" new file mode 100644 index 00000000..5bf4ee6b --- /dev/null +++ "b/data/2024/09/17/\340\270\227\340\270\261\340\270\231 LINE \340\271\204\340\270\227\340\270\242\340\270\204\340\270\271\340\271\210\340\270\237\340\271\211\340\270\262 _1_6462ae4f-67d1-41d7-996e-1ef8849a393c.txt" @@ -0,0 +1,16 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เตือน!! ลักทรัพย์ในพื้นที่ “น้ำท่วม” โทษหนักขึ้น + + +วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 +เตือน!! ลักทรัพย์ในพื้นที่ “น้ำท่วม” โทษหนักขึ้น +เตือน!! ลักทรัพย์ในพื้นที่ “น้ำท่วม” โทษหนักขึ้น +เตือน!! ลักทรัพย์ในพื้นที่ “น้ำท่วม” โทษหนักขึ้น +. +พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งการกำชับให้ตำรวจออกตรวจตราป้องกันการลักทรัพย์ในพื้นที่น้ำท่วมทุกจังหวัด พร้อมเตือน ลักทรัพย์ในพื้นที่น้ำท่วม ซ้ำเติมประชาชนผู้เดือดร้อน ต้องรับโทษสูงกว่าการลักทรัพย์โดยปกติ +อัลบั้มภาพ +ข่าวที่เกี่ยวข้อง +สถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 17 ก.ย. 67 +พม. ตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว 34 แห่ง 13 จังหวัด ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม . +ททท. ชวนเที่ยวงาน “DNA Travel & Fair Festival” เที่ยวไทย ตามสไตล์ของตัวเอง 19 - 22 กันยายนนี้ + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88070 \ No newline at end of file diff --git "a/data/2024/09/17/\340\270\227\340\270\261\340\270\231 LINE \340\271\204\340\270\227\340\270\242\340\270\204\340\270\271\340\271\210\340\270\237\340\271\211\340\270\262 _2_c73138a4-b815-4fe9-9cdb-53f2768e44a5.txt" "b/data/2024/09/17/\340\270\227\340\270\261\340\270\231 LINE \340\271\204\340\270\227\340\270\242\340\270\204\340\270\271\340\271\210\340\270\237\340\271\211\340\270\262 _2_c73138a4-b815-4fe9-9cdb-53f2768e44a5.txt" new file mode 100644 index 00000000..6854af56 --- /dev/null +++ "b/data/2024/09/17/\340\270\227\340\270\261\340\270\231 LINE \340\271\204\340\270\227\340\270\242\340\270\204\340\270\271\340\271\210\340\270\237\340\271\211\340\270\262 _2_c73138a4-b815-4fe9-9cdb-53f2768e44a5.txt" @@ -0,0 +1,24 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. ตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว 34 แห่ง 13 จังหวัด ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม . + + +วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 +พม. ตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว 34 แห่ง 13 จังหวัด ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม . +พม. ตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว 34 แห่ง 13 จังหวัด ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม +. +พม. ตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว 34 แห่ง 13 จังหวัด ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม +. +กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดพื้นที่ภายใต้การดูแลของกระทรวง จำนวน 34 แห่ง ใน 13 จังหวัด ของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งเป็นศูนย์พักพิงชั่วคราว เพื่อให้ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาอุทกภัยเข้ามาพักพิงได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งจะสามารถรองรับผู้ประสบภัยได้ 1,475 คน รวมถึงมีทั้งอาหารและน้ำดื่มไว้คอยดูแลทุกคนที่เข้ามา +. +โดยทั้ง 13 จังหวัดที่ตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน หนองคาย เลย มุกดาหาร บึงกาฬ อุบลราชธานี นครพนม ซึ่งเป็นจังหวัดที่ พม. ได้กำชับทุกหน่วยงานให้เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำจากลำน้ำโขงที่จะไปในพื้นที่ต่อๆ ไป ส่วนจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และเลย ที่น้ำได้เริ่มลดลงแล้วนั้น พม. จะเข้าไปช่วยเยียวยาผู้ประสบปัญหา ทั้งการซ่อมแซมที่อยู่อาศัย รวมถึงดูแลทั้งด้านร่างกายและจิตใจของพี่น้องประชาชน +. +อ่านเพิ่มเติม คลิก >> https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88042 +. +#ไทยคู่ฟ้า #สื่อสารรัฐบาลไทย +------------------- +อัลบั้มภาพ +ข่าวที่เกี่ยวข้อง +สถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 17 ก.ย. 67 +เตือน!! ลักทรัพย์ในพื้นที่ “น้ำท่วม” โทษหนักขึ้น +ททท. ชวนเที่ยวงาน “DNA Travel & Fair Festival” เที่ยวไทย ตามสไตล์ของตัวเอง 19 - 22 กันยายนนี้ + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88071 \ No newline at end of file diff --git "a/data/2024/09/17/\340\270\227\340\270\261\340\270\231 LINE \340\271\204\340\270\227\340\270\242\340\270\204\340\270\271\340\271\210\340\270\237\340\271\211\340\270\262 _3_091f872c-624f-4812-b13b-bd9cbd07e93d.txt" "b/data/2024/09/17/\340\270\227\340\270\261\340\270\231 LINE \340\271\204\340\270\227\340\270\242\340\270\204\340\270\271\340\271\210\340\270\237\340\271\211\340\270\262 _3_091f872c-624f-4812-b13b-bd9cbd07e93d.txt" new file mode 100644 index 00000000..d3e60279 --- /dev/null +++ "b/data/2024/09/17/\340\270\227\340\270\261\340\270\231 LINE \340\271\204\340\270\227\340\270\242\340\270\204\340\270\271\340\271\210\340\270\237\340\271\211\340\270\262 _3_091f872c-624f-4812-b13b-bd9cbd07e93d.txt" @@ -0,0 +1,9 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 17 ก.ย. 67 + + +วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 +สถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 17 ก.ย. 67 +สถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 17 ก.ย. 67 +สถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 17 ก.ย. 67 + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88072 \ No newline at end of file diff --git "a/data/2024/09/17/\340\270\252\340\270\243\340\270\270\340\270\233\340\270\202\340\271\210\340\270\262\340\270\247\340\270\201\340\270\262\340\270\243\340\270\233\340\270\243\340\270\260\340\270\212\340\270\270\340\270\241 \340\270\204\340\270\243\340\270\241_1_16f59a83-90c4-4137-8c79-89be375012d1.txt" "b/data/2024/09/17/\340\270\252\340\270\243\340\270\270\340\270\233\340\270\202\340\271\210\340\270\262\340\270\247\340\270\201\340\270\262\340\270\243\340\270\233\340\270\243\340\270\260\340\270\212\340\270\270\340\270\241 \340\270\204\340\270\243\340\270\241_1_16f59a83-90c4-4137-8c79-89be375012d1.txt" new file mode 100644 index 00000000..1937849d --- /dev/null +++ "b/data/2024/09/17/\340\270\252\340\270\243\340\270\270\340\270\233\340\270\202\340\271\210\340\270\262\340\270\247\340\270\201\340\270\262\340\270\243\340\270\233\340\270\243\340\270\260\340\270\212\340\270\270\340\270\241 \340\270\204\340\270\243\340\270\241_1_16f59a83-90c4-4137-8c79-89be375012d1.txt" @@ -0,0 +1,1353 @@ +รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุม ครม. 17 กันยายน 2567 + + +วันอังคารที่ 17 กันยายน 2567 +17/09/2567 +พิมพ์ +สรุปข่าวการประชุม ครม. 17 กันยายน 2567 +นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล +http://www.thaigov.go.th +(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) +วันนี้ 17 กันยายน 2567 เวลา 10.00 น.  นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1  ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้ +กฎหมาย +1.        เรื่อง     แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการขอรับร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้มีสิทธิเลือกตั้งมาพิจารณาก่อนรับหลักการ +2.        เรื่อง     การมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ ให้ความเห็นชอบหรือมีคำสั่งแทนคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการอันจำกัด ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 +3.        เรื่อง    คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี +4.        เรื่อง     ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม) +5.        เรื่อง     ระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ พ.ศ. 2567 +เศรษฐกิจ-สังคม +6.        เรื่อง     การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2567 ครั้งที่ 3 +7.        เรื่อง     โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ +8.        เรื่อง     ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างหอผู้ป่วยใน 7 ชั้น (จำนวน 156 เตียง) เป็นอาคาร คสล. 7 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 6,184 ตารางเมตร โรงพยาบาลสีคิ้ว ตำบลมิตรภาพ อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา 1 หลัง +9.        เรื่อง     การขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการยกระดับและพัฒนาระบบบริการสุขภาพหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข +10.      เรื่อง    ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) +11.      เรื่อง    การเพิ่มเงินค่าครองชีพชั่วคราวข้าราชการตุลาการตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา และขออนุมัติใช้เงินงบกลาง +12.      เรื่อง     การขอขยายระยะเวลาดําเนินการจ่ายเงินชดเชยให้แก่น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ +13.      เรื่อง     ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น +14.      เรื่อง     ขอความเห็นชอบหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2567 และขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2567 +15.      เรื่อง     ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อใช้จ่ายสำหรับงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายชดใช้เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน +ต่างประเทศ +16.      เรื่อง     การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐคีร์กีซ ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางพิเศษ/หนังสือเดินทางราชการ +17.      เรื่อง     ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารท่าทีไทยสําหรับการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 79 และร่างคํามั่นเพื่ออนาคต พร้อมด้วยร่างเอกสารภาคผนวก 2 ฉบับ +18.      เรื่อง     ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ด้านเศรษฐกิจเพื่อให้ไทยได้ให้การรับรอง และ/หรือให้ความเห็นชอบในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 56 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง การประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 24 และการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 44 และ 45 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง +19.      เรื่อง     ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนทางการค้าที่แน่นแฟ้น และร่างแผนการดำเนินงานสหราชอาณาจักร-ไทย ฉบับที่ 2 +20.      เรื่อง     ร่างความตกลงระหว่างทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศกับคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เรื่อง การแต่งตั้งคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เป็น International Atomic Energy Agency Collaborating Centre - Anchor Centre +แต่งตั้ง +21.      เรื่อง     การมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง +22.      เรื่อง     แต่งตั้งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย +23.      เรื่อง     คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่  313/2567 เรื่อง  มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี +24.      เรื่อง     คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 314/2567 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี +25.      เรื่อง     คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 315/2567 เรื่อง  มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค +26.      เรื่อง     คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 320/2567 เรื่อง  มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีและมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีในกรณีที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง +27.      เรื่อง     คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 311/2567  เรื่อง  แต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร +***************************** +กฎหมาย +1. เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการขอรับร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้มีสิทธิเลือกตั้งมาพิจารณาก่อนรับหลักการ +ข้อเสนอ +คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ถือปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการขอรับร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้มีสิทธิเลือกตั้งมาพิจารณาก่อนรับหลักการ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2567 ตามที่ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ +สาระสำคัญของเรื่อง +ที่ผ่านมาข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้มีการกำหนดเกี่ยวกับกรณีที่คณะรัฐมนตรีจะขอรับร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้มีสิทธิเลือกตั้งมาพิจารณาก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณารับหลักการ โดยคณะรัฐมนตรีได้วางหลักเกณฑ์การดำเนินการตามข้อบังคับของสภาผู้แทนราษฎรดังกล่าวตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 เป็นต้นมา โดยกำหนดส่วนราชการที่ได้รับผิดชอบ ตลอดจนวิธีการในการพิจารณาของ +ส่วนราชการดังกล่าว เพื่อให้การดำเนินการของคณะรัฐมนตรีทันเสนอสภาผู้แทนราษฎรภายในกำหนดเวลาที่คณะรัฐมนตรีขอรับร่างพระราชบัญญัติมาเพื่อพิจารณาก่อนรับหลักการ อันจะส่งผลให้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่คณะรัฐมนตรีขอรับจากสภาผู้แทนราษฎรมาพิจารณาก่อนรับหลักการเป็นไปด้วยความรอบคอบ รวมทั้งให้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมีความสอดคล้องกับทิศทางนโยบายของคณะรัฐมนตรีและกรอบของบประมาณ โดยให้ สคก. เชิญผู้แทนกระทรวง ทบวง กรม ที่เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัตินั้น และผู้แทนของ สศช. และ สงป. มาร่วมพิจารณา แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป +ปัจจุบันข้อ 118 วรรคหนึ่ง แห่งข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้บัญญัติให้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นผู้เสนอ ถ้าคณะรัฐมนตรีขอรับร่างพระราชบัญญัตินั้นไปพิจารณาก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรจะลงมติรับหลักการ เมื่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรอนุมัติก็ให้รอการพิจารณาไว้ก่อน แต่ต้องไม่เกิน +60 วัน นับแต่วันที่สภาผู้แทนราษฎรมีมติ ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวมีหลักการเช่นเดียวกับข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในอดีตที่ผ่านมา โดยได้มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2567 กำหนดแนวทางปฏิบัติตามข้อบังคับดังกล่าวอยู่ด้วย ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตามบทบัญญัติดังกล่าวของรัฐบาลเป็นไปด้วยความรอบครอบ รวมทั้งให้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมีความสอดคล้องกับนโยบายของคณะรัฐมนตรีและกรอบของงบประมาณตลอดจนสามารถดำเนินการได้ทันเสนอสภาผู้แทนราษฎรภายในกำหนดเวลาที่คณะรัฐมนตรีขอรับร่างพระราชบัญญัติมาเพื่อพิจารณาก่อนรับหลักการ จึงเห็นควรให้ส่วนราชการต่าง ๆ ถือปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการขอรับร่างพระราชบัญญัติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและผู้มีสิทธิเลือกตั้งมาพิจารณาก่อนรับหลักการ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติไว้ +2. เรื่อง การมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ ให้ความเห็นชอบหรือมีคำสั่งแทนคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา +สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการอันจำกัด ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 +คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี (28 มกราคม 2563) ซึ่งมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ ให้ความเห็นชอบ หรือมีคำสั่งแทนคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา เช่น พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนตำแหน่งที่ว่าง ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการอันจำกัด ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ +สาระสำคัญของเรื่อง +1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (28 มกราคม 2563) เห็นชอบมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ ให้ความเห็นชอบ หรือมีคำสั่งแทนคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา เช่น พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ +พระราชกฤษฎีกาให้การเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนตำแหน่งที่ว่าง ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการอันจำกัด ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 +2. คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (18 กันยายน 2566) เห็นชอบให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2563 ตามข้อ 1 ต่อไป ตามที่ สลค. เสนอ +3. โดยที่ร่างพระราชกฤษฎีกาที่ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญในความสัมพันธ์กับรัฐสภา +สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา เช่น พระราชกฤษฎีกาเรียกประชุม รัฐสภาสมัยวิสามัญ พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เป็นต้น ซึ่งในบางครั้งจะมีระยะเวลาดำเนินการค่อนข้างจำกัดตามกรอบระยะเวลาและขั้นตอนของกฎหมาย ประกอบกับเป็นเรื่องที่มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนอยู่แล้ว คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติตามข้อ 1 มอบหมายให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติ ให้ความเห็นชอบ หรือมีคำสั่งแทนคณะรัฐมนตรีในเรื่องดังกล่าวตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 เพื่อให้การปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในเรื่องดังกล่าวดำเนินไปด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ +3. เรื่อง คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี +คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ ดังนี้ +1. เห็นชอบให้คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีของคณะรัฐมนตรีชุดเดิม จำนวน 78 คณะ ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 และหลังจากนั้นให้คณะกรรมการ ฯ ดังกล่าวสิ้นสุดลง +2. ในกรณีที่ส่วนราชการใดพิจารณาเห็นว่าคณะกรรมการ ฯ คณะใด (ตามข้อ 1) ยังคงมีภารกิจสำคัญและจำเป็นที่จะต้องคงอยู่ต่อไป  เพื่อให้การดำเนินการตามภารกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ให้ส่วนราชการเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการคณะนั้น ๆ ขึ้นใหม่ โดยให้ตรวจสอบและปรับปรุงองค์ประกอบหน้าที่และอำนาจให้ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน แล้วส่งไปยัง สลค. โดยด่วนเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ให้ส่วนราชการถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2564 (เรื่อง แนวทางการใช้ระบบคณะกรรมการเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล) อย่างเคร่งครัด และหากเป็นกรณีที่มีการเสนอแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นกรรมการในคณะกรรมการที่จะเสนอแต่งตั้งด้วย ให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องระบุชื่อ/ชื่อสกุล และตำแหน่ง (ถ้ามี) ของบุคคลที่จะเสนอแต่งตั้งให้ชัดเจน พร้อมทั้งจัดทำเอกสารต่าง ๆ ประกอบการพิจารณาด้วย ดังนี้ +2.1 แบบสรุปประวัติของผู้ที่จะเสนอแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนั้นๆ +2.2 แบบตรวจสอบประวัติบุคคลเพื่อประกอบการนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ +ทั้งนี้ การแต่งตั้งคณะกรรมการ ฯ ดังกล่าวข้างต้นให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป โดยไม่ต้องออกเป็นคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีหรือคำสั่งของส่วนราชการเพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นอีก +สาระสำคัญของเรื่อง +โดยที่คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีชุดเดิม (ตามข้อ 1) จะต้องพ้นจากตำแหน่งเมื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ารับหน้าที่ ตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ 6) เรื่องเสร็จที่ 511/2533 ซึ่งได้พิจารณาเรื่อง การพ้นจากตำแหน่งของข้าราชการการเมือง โดยมีความเห็นว่า คณะกรรมการหรือคณะที่ปรึกษาต่าง ๆ ที่มีมติคณะรัฐมนตรีให้แต่งตั้งขึ้น หรือนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลเป็นผู้แต่งตั้งตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 218 ลงวันที่ 29 กันยายน 2515 โดยมิใช่เป็นคณะกรรมการหรือคณะที่ปรึกษาตามบทบัญญัติของกฎหมายหรือตามระเบียบปฏิบัติราชการประจำนั้น เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุด และคณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งในการบริหารราชการแผ่นดินไปเมื่อใด คณะกรรมการและคณะที่ปรึกษาต่าง ๆ ดังกล่าวย่อมพ้นจากตำแหน่งไปพร้อมกันด้วย โดยจะพ้นจากตำแหน่งเมื่อคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่เข้ารับหน้าที่เช่นเดียวกัน +ทั้งนี้ ระบบคณะกรรมการในกฎหมายที่ก่อให้เกิดผล ดังต่อไปนี้ เป็นการใช้ระบบคณะกรรมการโดยไม่จำเป็น +(1) ทำให้คณะกรรมการเป็นผู้บริหารงานโดยตรงหรือรับผิดชอบต่อการบริหารงานโดยตรง เว้นแต่เป็นผู้ควบคุมกำกับผู้บริหารในมหาวิทยาลัย รัฐวิสาหกิจหรือองค์การมหาชน +(2) ทำให้คณะกรรมการมีหน้าที่หรืออำนาจซ้ำซ้อนกับหน่วยงานหรือคณะกรรมการอื่น +(3) ทำให้การบริการประชาชนหรือการปฏิบัติหน้าที่ราชการเกิดขั้นตอนมากขึ้นหรือเกิดความล่าช้า +(4) ให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจำนวนมากร่วมเป็นกรรมการด้วย +(5) ทำให้เกิดผลเป็นการเบี่ยงเบนความรับผิดชอบ (accountability) ในผลของการกระทำได้โดยง่าย +(6) เป็นการตัดอำนาจของคณะรัฐมนตรี หรือเป็นการดำเนินการแทนคณะรัฐมนตรี +2) ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ระบบคณะกรรมการในกฎหมาย เนื่องจากมติของคณะกรรมการจะมีผลผูกพันหน่วยงานที่มีผู้แทนเป็นกรรมการโดยตำแหน่งด้วย หน่วยงานของรัฐ จึงควรพิจารณาให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้ +(1) ควรหลีกเลี่ยงการกำหนดให้นายกรัฐมตรีเป็นประธานกรรมการเว้นแต่กฎหมายนั้นเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับนโยบายที่สำคัญหรือนโยบายระดับชาติ +(2) กรรมการโดยตำแหน่งให้กำหนดเท่าที่จำเป็น ในกรณีที่จำเป็นต้องมีกรรมการดังกล่าว ควรกำหนดเฉพาะตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของคณะกรรมการนั้นโดยตรง +(3) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิให้กำหนดเท่าที่จำเป็น ในกรณีที่จำเป็นต้องมีกรรมการดังกล่าว ควรกำหนดเฉพาะด้านที่จำเป็นต้องอาศัยความรู้ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของคณะกรรมการนั้นโดยตรง +3) การแต่งตั้งกรรมการต้องไม่แต่งตั้งบุคคลซึ่งมีลักษณะการขัดกันแห่งผลประโยชน์ +4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม) +คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ +สาระสำคัญของเรื่อง +1. ร่างพระราชฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เป็นการขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม +(ฉบับที่ 646) พ.ศ. 2560 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 780) พ.ศ. 2566 ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 กันยายน 2567 โดยยังคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ 6.3 (ไม่รวมภาษีท้องถิ่น) หรือร้อยละ 7 (รวมภาษีท้องถิ่น) ต่อไปอีกเป็นระยะเวลา 1 ปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2568 เนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ยังมีข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงจากภาระหนี้สินของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และยังมีความผันผวนในตลาดการเงินโลก ดังนั้น การขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวจะเป็นการลดผลกระทบจากค่าครองชีพ ช่วยกระตุ้นการบริโภคของประชาชน ซึ่งจะส่งผลให้ภาคธุรกิจมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยและการลงทุนภาคเอกชนภายในประเทศขยายตัวได้ตามเป้าหมาย และสร้างความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจให้แก่ภาคเอกชน ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อลดภาษีมูลค่าเพิ่มโดยจัดเก็บในอัตราร้อยละ 6.3 (ไม่รวมภาษีท้องถิ่น) หรือร้อยละ 7 (รวมภาษีท้องถิ่น) รวม 20 ฉบับ +ทั้งนี้ การขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจะไม่มีกระทบต่อการประมาณการรายได้รัฐบาลในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เพื่อจัดทำวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เนื่องจากได้ประมาณการรายได้โดยใช้อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่ร้อยละ 7 (รวมภาษีท้องถิ่น) อยู่แล้ว +ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ +1) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนภายในประเทศและเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ตามเป้าหมาย +2) ภาคธุรกิจมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยและการลงทุนภาคเอกชนภายในประเทศขยายตัวได้ตามเป้าหมาย +3) อัตราภาษีไม่ทำให้ภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้น +5. เรื่อง ระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ พ.ศ. 2567 +คณะรัฐมนตรีระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ พ.ศ. 2567 ตามที่สำนักงบประมาณ (สงป.) เสนอ +สาระสำคัญของระเบียบ +1. โดยที่รัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการส่งเสริมให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและการดำรงชีพ สร้างโอกาสในการประกอบอาชีพของประชาชนและภาคธุรกิจควบคู่กับการรักษาระดับการบริโภคและการลงทุนในประเทศ รวมถึงความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จึงมีการตั้งงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย [พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมหรือพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย (มาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561)] +2. ดังนั้น เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจตามข้อ 1 เป็นไปด้วยความเรียบร้อยอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส สงป. จึงได้ออกระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ พ.ศ. 2567 เมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2567 โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ +ประเด็น +รายละเอียด +1. บทนิยาม (ข้อ 3) +· คำว่า “โครงการ” หมายถึง “โครงการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือเพื่อการสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพของประชาชนหรือภาคธุรกิจ หรือเพื่อการวางรากฐานเศรษฐกิจให้กับประเทศ” +2. การขอรับจัดสรรงบประมาณ +(ข้อ 5 – ข้อ 7) +· กำหนดให้หน่วยรับงบประมาณที่จะขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการดังกล่าวต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้เป็นหน่วยงานดำเนินโครงการ (ข้อ 5) และต้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามโครงการที่ขอรับจัดสรร โดยแสดงเป้าหมายและตัวชี้วัด เพื่อเป็นกรอบแนวทางในการใช้จ่ายงบประมาณ และเพื่อใช้ในการกำกับดูแลและติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมรายละเอียดประกอบ เช่น อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายในการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องที่ขอรับการจัดสรร (ข้อ 6) +· กำหนดให้หน่วยรับงบประมาณที่จะขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการดังกล่าวต้องเสนอเรื่องให้รองนายกรัฐมนตรี  รัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแล หรือผู้ที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้กำกับดูแลโครงการแล้วแต่กรณี พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนส่งคำขอให้ สงป. (ข้อ 7) +3. การจัดสรรและการใช้จ่ายงบประมาณ (ข้อ 8 - ข้อ 9) +· กำหนดให้ สงป. พิจารณาอนุมัติเงินจัดสรรงบประมาณรายจ่าย +งบกลางรายการดังกล่าวตามวงเงินที่จะใช้จ่าย โดยสอดคล้องกับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ (ข้อ 8) +· กำหนดให้หน่วยรับงบประมาณที่ได้รับอนุมัติเงินจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการดังกล่าวใช้จ่ายตามรายการ วงเงิน และรายละเอียดอื่นใด ที่ สงป. กำหนด โดยการโอนหรือเปลี่ยนแปลงรายการและรายละเอียดที่ สงป. กำหนดจะกระทำมิได้ เว้นแต่จะได้รับความตกลงจาก สงป. และกรณีมีเงินจัดสรรเหลือจ่ายจากการดำเนินงานที่บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว หรือไม่สามารถดำเนินการตามที่ได้รับอนุมัติจัดสรร ให้แจ้ง สงป. เพื่อดำเนินการนำเงินจัดสรรส่งคืน (ข้อ 9) +4. การรายงานและประเมินผล (ข้อ 10 - ข้อ 11) +· กำหนดให้หน่วยรับงบประมาณที่ได้รับอนุมัติเงินจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการดังกล่าวจัดทำรายงานผลการปฏิบัติงานและ +ผลการใช้จ่ายงบประมาณตามเป้าหมายหรือตัวชี้วัดที่กำหนดไว้หรือตามที่ได้ตกลงกับ สงป. ตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณภายใน 15 วัน นับแต่สิ้นระยะเวลาในแต่ละเดือน (ข้อ 10) +· กำหนดให้เมื่อสิ้นสุดโครงการ หน่วยรับงบประมาณที่ได้รับอนุมัติเงินจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการดังกล่าวจัดทำรายงานที่แสดงถึงความสำเร็จในการปฏิบัติงานตามหลักเกณฑ์การวัดของตัวชี้วัดผลสำเร็จตามที่กำหนดไว้หรือตามที่ได้ตกลงกับ สงป. รวมถึงสรุปผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณภายใน 15 วัน นับแต่วันสิ้นสุดโครงการ พร้อมรายงานปัญหา อุปสรรค และแนวทางแก้ไข เพื่อเสนอรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือรัฐมนตรีที่กำกับดูแล แล้วแต่กรณี และแจ้ง สงป. ทราบเพื่อรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป (ข้อ 11) +เศรษฐกิจ-สังคม +6. เรื่อง การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2567 ครั้งที่ 3 +คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่ คณะกรรมการนโยบายและกำกับบริหารหนี้สาธารณะ +(คณะกรรมการฯ) เสนอ ดังนี้ +1. อนุมัติและรับทราบตามข้อเสนอของคณะกรรมการฯ ตามมติที่ประชุมครั้งที่ 2/2567 เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2567 ดังนี้ +1.1 อนุมัติการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ (แผนฯ) ประจำปีงบประมาณ +พ.ศ. 2567 ครั้งที่ 3 ได้แก่ แผนการก่อหนี้ใหม่ ปรับเพิ่มสุทธิ 112,000 ล้านบาท จากเดิม 1,030,580.71 ล้านบาท เป็น 1,142,580.71 ล้านบาท +1.2 อนุมัติรายการเพิ่มเติมในการปรับปรุงแผนฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ครั้งที่ 3 จำนวน 1 รายการ ได้แก่ เงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (เพิ่มเติม)                                   1.3 รับทราบการปรับปรุงแผนฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ครั้งที่ 3 ได้แก่ +แผนการบริหารหนี้เดิม ปรับลดสุทธิ 12,603.87 ล้านบาท จากเดิม 2,042,314,06 ล้านบาท เป็น +2,029,710.19 ล้านบาท +2. อนุมัติการกู้เงินของรัฐบาลเพื่อการก่อหนี้ใหม่ การกู้มาและการนำไปให้กู้ต่อการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ และการค้ำประกันเงินกู้ให้กับรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 มาตรา 7 แห่งพระราชกำหนด ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2541 มาตรา 7 แห่งพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการพื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. 2545 รวมทั้งขออนุมัติการกู้เงินของรัฐวิสาหกิจเพื่อลงทุนในโครงการพัฒนาและการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้กรอบวงเงินของการปรับปรุงแผนฯ ปีงบประมาณ 2567 ครั้งที่ 3 และให้กระทรวงการคลัง (กค.) เป็นผู้พิจารณากู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน การค้ำประกันและการบริหารความเสี่ยงในแต่ละครั้งได้ตามความเหมาะสมและจำเป็น ทั้งนี้ หากรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินการกู้เงินได้เอง ก็ให้สามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสมและจำเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้น ๆ +ข้อวิเคราะห์ +1. คณะกรรมการฯ มีมติในการประชุมครั้งที่ 2/2567 เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2567 เห็นชอบการปรับปรุงแผนฯ ประจำปีงบประมาณ 2567 ครั้งที่ 3 โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้ +1.1 แผนการก่อหนี้ใหม่ ปรับเพิ่ม 112,000 ล้านบาท จากเดิม 1,030,580.71 ล้านบาท เป็น 1,142,580.71 ล้านบาท โดยเป็นแผนการก่อหนี้ใหม่ของรัฐบาล (รัฐบาลกู้มาใช้โดยตรง) ปรับเพิ่ม 112,000 ล้านบาท ดังนี้ +หน่วย : ล้านบาท +รายการ +วงเงินปรับปรุงครั้งที่ 2 +วงเงินปรับปรุง ครั้งที่ 3 (ครั้งนี้) +เพิ่ม/(ลด) +แผนการก่อหนี้ใหม่ของรัฐบาล (รัฐบาลกู้หนี้มาใช้โดยตรง) +771,458.40 +883,458.40 +112,000.00 +กู้เงินในประเทศ +733,000.00 +845,000.00 +112,000.00 +- เงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (เพิ่มเติม) ปรับเพิ่มวงเงินเพื่อให้สอดคล้องกับวงเงินภายใต้พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 +0.00 +112,000.00 +112,000.00 +รวม +112,000.00 +2. แผนการบริหารหนี้เดิม ปรับลด 12,603.87 ล้านบาท จากเดิม 2,042,314.06 ล้านบาท เป็น 2,029,710.19 ล้านบาท เนื่องจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร +(ธ.ก.ส.) ปรับลดแผนการบริหารหนี้จากเดิม 49,054.00 ล้านบาท เป็น 36,450.13 ล้านบาทดังนี้ +หน่วย : ล้านบาท +รายการ +วงเงินปรับปรุงครั้งที่ 2 +วงเงินปรับปรุง ครั้งที่ 3 (ครั้งนี้) +เพิ่ม/(ลด) +แผนการบริหารหนี้เดิมของรัฐวิสาหกิจ (หนี้ในประเทศ) +110,690.10 +98,086.23 +(12,603.87) +ธ.ก.ส. ปรับลดวงเงินกู้โครงการรับจำนำผลิตผลทางการเกษตรปีการผลิต 2554/55 และโครงการรับจำนำผลิตผลทางการเกษตร ปีการผลิต 2555/56 เนื่องจาก ธ.ก.ส. ได้ชำระหนี้จากงบประมาณเพื่อชำระต้นเงินกู้วงเงิน 12,601.37 ล้านบาท และเงินระบายข้าววงเงิน 2.5 ล้านบาท +49,054.00 +36,450.13 +(12,603.87) +รวม +(12,603.87) +3. แผนการชำระหนี้ คงเดิมที่วงเงิน 454,168.87 ล้านบาท +ระเบียบคณะกรรมการฯ ว่าด้วยหลักเกณฑ์การบริหารหนี้สาธารณะพ.ศ. 2561 +ข้อ 15 (3) กำหนดว่า หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแผนฯ ระหว่างปี กรณีโครงการพัฒนาหรือโครงการที่ไม่ได้บรรจุไว้ในแผนฯ ให้เสนอคณะกรรมการฯ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติคณะกรรมการฯ จึงอนุมัติโครงการพัฒนา โครงการ และรายการเพิ่มเติมในการปรับปรุงแผนฯ ประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2567 ครั้งที่ 3 จำนวน +1 รายการ ได้แก่ เงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2567 (เพิ่มเติม) ดังนี้ +หน่วย : ล้านบาท +รายการ +หน่วยงาน +แหล่งเงินกู้ +วงเงิน +แผนการก่อหนี้ใหม่ +เงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (เพิ่มเติม) +กค. +ในประเทศ +112,000.00 +ทั้งนี้ แผนฯ ในครั้งนี้อยู่ภายในกรอบกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ +1. พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ภายหลังการจัดทำแผนฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ปรับปรุงครั้งที่ 3 ประมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะยังอยู่ภายใต้กรอบที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด ดังนี้ +หน่วย : ร้อยละ +กรอบในการบริหารหนี้สาธารณะ +กรอบตามกฎหมาย +(ไม่เกินร้อยละ) +ประมาณการแผนฯ ปี 2567 +ปรับปรุงครั้งที่ 2 +ประมาณการ +แผนฯ ปี 2567 +ปรับปรุงครั้งที่ 3 +สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) +70.00 +65.06 +65.74 +สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ +35.00 +32.14 +33.76 +สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะทั้งหมด +10.00 +1.45 +1.44 +สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการ +5.00 +0.04 +0.04 +2. พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ภายใต้กรอบการดำเนินการที่กำหนด ดังนี้ +หน่วย : ล้านบาท +กรอบการกู้เงิน การค้ำประกัน และการให้กู้ต่อของ กค. +กรอบตามกฎหมาย +วงเงินในแผนฯ ปี 2567 +ปรับปรุงครั้งที่ 3 +กรอบคงเหลือ +การกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ และการกู้ปรับโครงสร้างหนี้ที่ กค. ค้ำประกัน +[มาตรา 21 และมาตรา 24 (2)] +815,056.00 +805,000.00 +10,056.00 +การกู้เงินเพื่อบริหารสภาพคล่องเงินคงคลัง +(มาตรา 21/1) +108,060.00 +63,000 +45,060.00 +การกู้ต่างประเทศและการกู้มาให้กู้ต่อ (เงินตราต่างประเทศ) (มาตรา 22 มาตรา 23 มาตรา 25) +348,000.00 +38,458.40 +309,541.60 +การค้ำประกันและการกู้มาให้กู้ต่อ (เงินบาท) +(มาตรา 25 และ มาตรา 28) +720,400.00 +159,417.63 +560,982.37 +7. เรื่อง โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ +คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติ ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ  ดังนี้ +1. เห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ (โครงการฯ) โดยมอบหมาย กค. เป็นผู้ดำเนินโครงการ และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนการดำเนินโครงการสิทธิและสวัสดิการคนพิการ +2. อนุมัติงบประมาณสำหรับการดำเนินโครงการฯ ในวงเงินไม่เกิน 145,552.40 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงิน ดังนี้ +2.1 งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวนไม่เกิน 122,000 ล้านบาท +2.2 งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินไม่เกิน 23,552.40 ล้านบาท +3. เห็นชอบในหลักการการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินที่กลุ่มเป้าหมายได้รับตามโครงการฯ และมอบหมายให้ กค. โดยกรมสรรพากรพิจารณาดำเนินการยกร่างกฎหมายและเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป +4. มอบหมายให้กรมบังคับคดีกำหนดแนวปฏิบัติเพื่ออนุญาตให้บุคคลล้มละลายหรือถูกพิทักษ์ทรัพย์ เปิดบัญชีเงินฝากธนาคารและถอนเงินเป็นกรณีพิเศษเพื่อรับเงินตามโครงการฯ และเบิกถอนเงินดังกล่าวเพื่อใช้จ่าย +5. มอบหมายให้องค์กรปกครองท้องถิ่น (อปท.) โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) และเมืองพัทยา รวบรวมและนำส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องของคนพิการให้แก่กรมบัญชีกลาง เพื่อประโยชน์ในการจ่ายเงินให้แก่คนพิการตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านคนพิการ +6. มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) รวบรวมและนำส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องของผู้สูงอายุ คนไร้ที่พึ่ง เด็ก และคนพิการ ให้แก่กรมบัญชีกลาง เพื่อประโยชน์ในการจ่ายเงินตามโครงการฯ +7. มอบหมายให้ อปท.โดย สถ. กทม. และเมืองพัทยา รวบรวม ตรวจสอบและรายงานผลการดำเนินการจ่ายเงินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านคนพิการให้แก่คนพิการในพื้นที่ต่อสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง +8. มอบหมายให้ พม. โดยกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการทำบัตรประจำตัวคนพิการหรือต่ออายุบัตรประจำตัวคนพิการให้แก่คนพิการ เพื่อให้กรมบัญชีกลางสามารถจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมายได้ภายในกำหนดเวลาการจ่ายเงินตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ +ปี 2567 +สาระสำคัญของเรื่อง +กระทรวงการคลังเสนอโครงการสิทธิและสวัสดิการคนพิการ1  เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ   และเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2567 โดยมีสาระสำคัญของโครงการสรุปได้ ดังนี้ +หัวข้อ +โครงการฯ +ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ +คนพิการ +วัตถุประสงค์ +เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพและเพิ่มศักยภาพของกลุ่มเป้าหมายให้มีโอกาสเข้าถึงการใช้จ่ายที่สามารถสนองตอบต่อความต้องการและความจำเป็นในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึงช่วยเพิ่มการบริโภคที่จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบและกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศในช่วงปลายปี 2567 +กลุ่มเป้าหมาย2 +ผู้ที่ผ่านคุณสมบัติโครงการลงทะเบียนฯ ปี 2565 ที่ได้ยืนยันตัวตน (e - KYC) สำเร็จแล้ว ดังนี้ +(1) ตามฐานข้อมูลโครงการลงทะเบียนฯ ปี 2565 ของ กค. และไม่เป็นคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการ ตามฐานข้อมูลของกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต +คนพิการ พม. +(2) เป็นคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการที่หมดอายุ ตามฐานข้อมูลของกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พม. +(3) เป็นคนพิการที่ได้รับเงินเบี้ยความพิการตามฐานข้อมูลของ อปท. กทม. และเมืองพัทยาแต่ไม่อยู่ในฐานข้อมูลของกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พม. +โดย ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2567 มีผู้ที่ผ่าน +คุณสมบัติข้างต้นจำนวนไม่เกิน 12,405,754 ราย +คนพิการที่มีคุณสมบัติ ดังนี้ +(1) มีบัตรประจำตัวคนพิการที่ยังไม่หมดอายุ +ตามฐานข้อมูลของกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พม. +(2) มีบัตรประจำตัวคนพิการที่หมดอายุตามฐานข้อมูลของกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพ +ชีวิตคนพิการ พม. ซึ่งจะต้องต่ออายุบัตรประจำตัว +คนพิการภายในวันที่ 3 ธันวาคม 2567 และ                กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ +พม. แจ้งยืนยันข้อมูลดังกล่าวให้กรมบัญชีกลางทราบจึงจะได้รับสิทธิ +(3) ไม่มีบัตรประจำตัวคนพิการในฐานข้อมูล +ของกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ +พม. แต่ได้รับเงินเบี้ยความพิการตามฐานข้อมูล +ของ อปท. กทม. และเมืองพัทยา และไม่มีบัตร +สวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งจะต้องทำบัตรประจำตัว +พิการภายในวันที่ 3 ธันวาคม 2567 และกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พม. แจ้งยืนยันข้อมูลดังกล่าวให้กรมบัญชีกลางทราบ +จึงจะได้รับสิทธิ +(4) ไม่มีบัตรประจำตัวคนพิการในฐานข้อมูล +ของกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต +คนพิการ พม. แต่ได้รับเงินเบี้ยความพิการ +ตามฐานข้อมูลของ อปท. กทม. และเมืองพัทยา +มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและไม่ได้ยืนยันตัวตน +(e-KYC) ภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2567 +ตามฐานข้อมูลโครงการลงทะเบียนฯ ปี 2565 +ของ กค. ซึ่งจะต้องทำบัตรประจำตัวคนพิการภายใน วันที่ 3 ธันวาคม 2567 และกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พม. แจ้งยืนยันข้อมูลดังกล่าวให้กรมบัญชีกลางทราบ จึงจะได้รับสิทธิ โดย ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2567 มีผู้ที่ผ่านคุณสมบัติข้างต้นจำนวนไม่เกิน 2,149,286 ราย +วิธีดำเนินการ +(1) กรมบัญชีกลางดำเนินการจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมาย จำนวน 10,000 บาทต่อคน โดยจะเริ่มทยอยจ่ายเงินตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2567 เป็นต้นไป ผ่านช่องทาง ดังนี้ +ผ่านบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชนของกลุ่มเป้าหมาย สำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกรณีผู้ป่วย     ติดเตียงหรือผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไปที่ไม่สามารถผูกพร้อมเพย์ได้ ให้จ่ายเงินผ่านบัญชีเงินฝากธนาคารตามที่ได้แจ้งความประสงค์ในหนังสือให้ความยินยอมโอนเงินสวัสดิการเข้าบัญชีร่วมกับบุคคลอื่นหรือบุคคลอื่นไว้แล้ว ณ สำนักงานคลังจังหวัดหรือกรมบัญชีกลาง ตามแนวทางการจ่ายเงินของกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม +(กองทุนฯ) +(1) ผ่านช่องทางการรับเงินเบี้ยความพิการที่ได้รับข้อมูลจาก อปท. กทม. และเมืองพัทยา +(2) ผ่านบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชนของคนพิการกลุ่มดังกล่าว สำหรับคนพิการที่ไม่ปรากฏข้อมูลช่องทางการรับเงินเบี้ยความพิการตามข้อ (1) +(2) ในกรณีที่กรมบัญชีกลางจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมายไม่สำเร็จในครั้งแรกให้ดำเนินการ           ติดตามเพื่อจ่ายเงิน (Retry) ให้แก่กลุ่มเป้าหมายดังกล่าว จำนวน 3 ครั้ง ดังนี้ +(2.1) ครั้งที่ 1 ภายในวันที่ 22 ตุลาคม 2569 +(2.2) ครั้งที่ 2 ภายในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 +(2.3) ครั้งที่ 3 ภายในวันที่ 22 ธันวาคม 2567 +ทั้งนี้ เมื่อพ้นกำหนดการ Retry ครั้งที่ 3 แล้ว รัฐจะยุติการจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมาย +และถือว่ากลุ่มเป้าหมายไม่ประสงค์รับเงินภายใต้โครงการ +ประโยชน์ +ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ และสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจโดยจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการถือเป็นผู้มีรายได้น้อยที่มีความโน้มเอียงหน่วยสุดท้ายในการบริโภค (Marginal Propensity to Consume: MPC) สูงกว่ากลุ่มประชากรที่มีรายได้สูงกว่า ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่จะใช้จ่ายเงินหมดทั้งจำนวน ทั้งนี้ คาดว่าการดำเนินโครงการฯ จะส่งผลให้ GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.3 (ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ) และ 0.05 (ผ่านคนพิการ) ต่อปี เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีโครงการ +งบประมาณ +จำนวนไม่เกิน 124,059.54 ล้านบาท +ประกอบด้วย (1) งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวน 122,000                ล้านบาท และ (2) งบประมาณรายจ่าย +ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 2,059.54 ล้านบาทโดยจัดสรรให้แก่สำนักงานปลัดกระทรวงการคลังสำหรับกองทุนฯ และให้นำเงินที่เหลือดังกล่าวไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ ต่อไป +จำนวนไม่เกิน 21,492.86 ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ                   พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยจัดสรรให้แก่สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง และให้นำเงินเหลือจ่ายดังกล่าวส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป +________________ +1สิทธิและสวัสดิการคนพิการ เช่น (1) เบี้ยความพิการ 800-1,000 บาทต่อเดือน (2) สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสำหรับคนพิการ (บัตรทองคนพิการ ท. 74) ได้ที่สถานพยาบาลของรัฐทุกแห่ง (3) สิทธิด้านการศึกษา โดยสามารถเข้ารับการศึกษาขั้นพื้นฐานพิเศษตั้งแต่แรกเกิดหรือเมื่อพบความพิการโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนจนถึงปริญญาตรี (4) สิทธิด้านอาชีพ โดยสามารถเข้ารับการฝึกอาชีพจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (5) คนพิการสามารถขอกู้ยืมเงินเพื่อทุนประกอบอาชีพได้ไม่เกิน 120,000 บาท โดยไม่เสียดอกเบี้ย (ผ่อนชำระภายใน 5 ปี) (6) การลดหย่อนค่าโดยสารขนส่งสาธารณะสำหรับคนพิการ และ (7) สิทธิการปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยสำหรับคนพิการ เช่น ปรับปรุงห้องน้ำ ติดตั้งราวจับ ปรับทางเดิน ในอัตราเหมาจ่ายไม่เกินรายละ 40,000 บาท เป็นต้น +2ไม่รวมถึงผู้ที่ผ่านคุณสมบัติโครงการลงทะเบียนฯ ปี 2565 ที่ได้ยืนยันตัวตน (e - KYC) สำเร็จแล้ว ซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ในสังกัด พม. ที่ พม. แจ้งยืนยันข้อมูลดังกล่าวให้กรมบัญชีกลาง +8. เรื่อง ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างหอผู้ป่วยใน 7 ชั้น (จำนวน 156 เตียง) เป็นอาคาร คสล. 7 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 6,184 ตารางเมตร โรงพยาบาลสีคิ้ว ตำบลมิตรภาพ อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา 1 หลัง +คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ ดังนี้ +1. ขออนุมัติเพิ่มวงเงินค่าก่อสร้างรายการหอผู้ป่วยใน 7 ชั้น (จำนวน 156 เตียง) เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก (อาคาร คสล.) 7 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 6,184 ตารางเมตร โรงพยาบาลสีคิ้ว ตำบลมิตรภาพ อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา 1 หลัง (หอผู้ป่วยในโรงพยาบาลสีคิ้วฯ) จำนวน 51.46 ล้านบาท ซึ่งจากเดิมได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 106.3 ล้านบาท (ยังไม่รวมวงเงินสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาด) เป็นวงเงินก่อสร้างรวมทั้งสิ้น 157.73 ล้านบาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 15.94 ล้านบาท ที่ได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายให้แล้ว ส่วนที่เหลือจำนวน 141.79 ล้านบาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 – 2570 +2. ขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารดังกล่าว จากปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 – 2569 เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 – 2570 +ทั้งนี้ การก่อสร้างหอผู้ป่วยในโรงพยาบาลสีคิ้วฯ จะรองรับการให้บริการผู้ป่วยในได้อย่างเพียงพอ และให้บริการผู้ป่วยในที่มีความต้องการเฉพาะได้มากขึ้นตามมาตรฐานการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อในโรงพยาบาล เช่น ผู้ป่วยวัณโรค โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ รวมถึงให้บริการพระสงฆ์อาพาธ ผู้ต้องขังที่ป่วย สามารถลดความแออัดของผู้ป่วยใน ลดการส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาล ลดภาระด้านเศรษฐกิจของประชาชนในเขตอำเภอสีคิ้วและอำเภอใกล้เคียงในการไปใช้บริการโรงพยาบาลที่ห่างไกล รวมไปถึงอาคารหอผู้ป่วยในที่มีอยู่เดิม มีสภาพชำรุดทรุดโทรมไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ดังนั้น จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเข้ารับบริการของประชาชนและความปลอดภัยของบุคลากรทางการแพทย์ในการปฏิบัติหน้าที่ ส่งผลให้การบริการมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น +9. เรื่อง การขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการยกระดับและพัฒนาระบบบริการสุขภาพหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข +ข้อเสนอ +คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รวมวงเงินทั้งสิ้น 624.80 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการยกระดับและพัฒนาระบบบริการสุขภาพ หน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (โครงการยกระดับและพัฒนาระบบบริการสุขภาพฯ) ตามที่ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ +สธ. รายงานว่าจากการสำรวจความต้องการครุภัณฑ์การแพทย์ในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ ยังพบว่าหน่วยงานในสังกัดทุกระดับทั่วประเทศยังมีความต้องการครุภัณฑ์ทางการแพทย์ที่มีความจำเป็น ประกอบกับ ไม่สามารถปรับแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำประจำปี พ.ศ. 2567 เพื่อนำมาดำเนินการได้  จึงขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการยกระดับและพัฒนาระบบบริการสุขภาพฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาครุภัณฑ์การแพทย์ให้แก่โรงพยาบาลในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (เช่น โรงพยาบาลประจำจังหวัดต่าง ๆ) ที่ สธ. เห็นว่ามีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันภายในเดือนกันยายน 2567 +สงป. เสนอนายกรัฐมนตรีเห็นชอบให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นรวมวงเงินทั้งสิ้น 624.80 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการยกระดับและพัฒนาระบบบริการสุขภาพฯ สำหรับจัดหาครุภัณฑ์ทางการแพทย์ โดยให้เบิกจ่ายในงบลงทุน ค่าครุภัณฑ์ [ตัวอย่างรายการครุภัณฑ์ เช่น ชุดตรวจสุขภาพระบบแพทย์ทางไกลแบบพกพา 672 ชุด (ชุดละ 50,000 บาท) เครื่องตรวจอวัยวะภายในด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงแบบพกพาไม่ต้องชาร์จไฟฟ้า พร้อมระบบแพทย์ทางไกล 102 เครื่อง (ชุดละ 350,000 บาท) เครื่องช่วยนวดหัวใจและฟื้นคืนชีพผู้ป่วยอัตโนมัติ 161 เครื่อง (เครื่องละ 1 ล้านบาท) เครื่องช่วยหายใจชนิดควบคุมด้วยปริมาตรและความดันเคลื่อนย้ายได้ 48 เครื่อง (เครื่องละ 450,000 บาท)] +10. เรื่อง ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) +คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) จำนวน 5,924.31 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ยกระดับ 30 บาท รักษาทุกโรค “บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกที่” (นโยบายฯ) ประจำปีงบประมาณ 2567 สำหรับกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขของประชาชนให้มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยประชาชนสามารถเข้ารับบริการด้านสาธารณสุขได้ทุกที่ทั่วประเทศ ซึ่งนโยบายดังกล่าวประกอบด้วยบริการ ดังนี้ +1. บริการในหน่วยบริการอื่นกรณีที่มีเหตุสมควร (OP Anywhere) : ผู้รับบริการตามสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสามารถใช้บริการที่โรงพยาบาลอื่นนอกเหนือจากโรงพยาบาลที่ได้ลงทะเบียนไว้ตามสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ +2. บริการสาธารณสุขในหน่วยนวัตกรรม : ผู้รับบริการตามสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติสามารถเข้ารับบริการในหน่วยบริการด้านสาธารณสุขประเภทอื่นจำนวน 8 ประเภท ได้แก่ ร้านยาชุมชนอบอุ่น คลินิกเทคนิคการแพทย์ คลินิกพยาบาล คลินิกกายภาพบำบัด คลินิกเวชกรรม คลินิกทันตกรรม รถทันตกรรมเคลื่อนที่ และคลินิกแพทย์แผนไทย +ทั้งนี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้เริ่มดำเนินนโยบายฯ ในวันที่ 7 มกราคม 2567 ในพื้นที่นำร่อง 4 จังหวัด (ได้แก่ จังหวัดแพร่ ร้อยเอ็ด เพชรบุรี และนราธิวาส) และในปัจจุบันให้บริการครอบคลุมแล้ว 46 จังหวัด โดยในปัจจุบันผู้มีสิทธิตามหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมีจำนวน 43,560,944 ราย +11. เรื่อง การเพิ่มเงินค่าครองชีพชั่วคราวข้าราชการตุลาการตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา และขออนุมัติใช้เงิน +งบกลาง +คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรม (ศย.) เสนอ ดังนี้ +1. เห็นชอบในหลักการเพิ่มเงินค่าครองชีพชั่วคราวข้าราชการตุลาการ ตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา ตามร่างระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม ว่าด้วยการจ่ายเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวข้าราชการตุลาการตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา พ.ศ. .... +2. อนุมัติให้ใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 52.84 ล้านบาท สำหรับรายการเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวข้าราชการตุลาการ ตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา ดังนี้ +2.1 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 6.60 ล้านบาท +2.2 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 46.24 ล้านบาท +สาระสำคัญของเรื่อง +1. ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (28 พฤศจิกายน 2566) เห็นชอบในหลักการการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุและการปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบ การปรับเงินเพิ่ม การครองชีพชั่วคราว และแนวทางในการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบราชการ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ โดยในส่วนของการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุ มีแนวทางดำเนินการปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิการศึกษาเพิ่มขึ้นทุกคุณวุฒิ ซึ่งไม่รวมถึงข้าราชการตุลาการตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา ดังนั้น คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.) จึงมีมติเมื่อวันที่ +27 พฤษภาคม 2567 เห็นชอบร่างระเบียบ ก.บ.ศ. ว่าด้วยการจ่ายเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวข้าราชการตุลาการตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา พ.ศ. .... โดยกำหนดให้ข้าราชการตุลาการตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษาได้รับเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวเป็นรายเดือนเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 ข้างต้น โดยมีอัตราการจ่าย ดังนี้ +อัตราการจ่ายต่อเดือน (บาท/คน/เดือน) +ระยะเวลาที่มีผลใช้บังคับ +3,500 +ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2567-30 เมษายน 2568 +7,350 +ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป +ทั้งนี้ การคำนวณเงินเดือนและค่าครองชีพชั่วคราวที่จะปรับเพิ่มขึ้น สรุปได้ ดังนี้ +1.1 ค่าครองชีพชั่วคราวที่จะปรับเพิ่มระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม 2567-30 เมษายน 2568 คำนวณจาก (เงินเดือน 25,000 บาท + เงินประจำตำแหน่ง 10,000 บาท) x ร้อยละ 10 +1.2 ค่าครองชีพชั่วคราวที่จะปรับเพิ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เป็นต้น คำนวณจาก [(เงินเดือน 25,000 บาท + เงินประจำตำแหน่ง 10,000 บาท) x ร้อยละ 10] + [(เงินเดือน 25,000 + เงินเดือนที่ปรับเพิ่มขึ้น 2,500 บาท + เงินตำแหน่ง 10,000 + เงินประจำตำแหน่งที่ปรับเพิ่มขึ้น 1,000 บาท) x ร้อยละ 10] +2. ประมาณการเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวข้าราชการชั่วคราวข้าราชการตุลาการตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา วงเงิน 52.84 ล้านบาท สรุปได้ ดังนี้ +2.1 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบประมาณรวม 6.60 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม – 30 กันยายน 2567 สรุปรายละเอียดได้ ดังนี้ +ระยะเวลา +ค่าครองชีพชั่วคราวที่จะปรับเพิ่ม +(บาท/เดือน) +จำนวน +(คน) +งบประมาณที่ใช้ +(ล้านบาท) +วันที่ 1 พฤษภาคม-30 กันยายน 2567 (5 เดือน) +3,500 +197 +3.45 +วันที่ 1 กรกฎาคม-30 กันยายน 2567 (3 เดือน) +3,500 +150 +1.58 +วันที่ 1 สิงหาคม-30 กันยายน 2567 (2 เดือน) +3,500 +150 +1.05 +วันที่ 1 กันยายน-30 กันยายน 2567 (1 เดือน) +3,500 +150 +0.53 +รวมงบประมาณ (ล้านบาท) +6.60 +2.2 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบประมาณรวม 46.24 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567-30 กันยายน 2568 สรุปรายละเอียดได้ ดังนี้ +ระยะเวลา +ค่าครองชีพชั่วคราวที่จะปรับเพิ่ม +(บาท/เดือน) +จำนวน +(คน) +งบประมาณที่ใช้ +(ล้านบาท) +วันที่ 1 ตุลาคม 2567-30 เมษายน 2568 (7 เดือน) +3,500 +647 +15.85 +วันที่ 1 พฤษภาคม-30 กันยายน 2568 (5 เดือน) +7,350 +647 +23.78 +วันที่ 1 กรกฎาคม- 30 กันยายน 2568 (3 เดือน) +7,350 +150 +3.31 +วันที่ 1 สิงหาคม-30 กันยายน 2568 (2 เดือน) +7,350 +150 +2.21 +วันที่ 1 กันยายน-30 กันยายน 2568 (1 เดือน) +7,350 +150 +1.10 +รวมงบประมาณ (ล้านบาท) +46.24 +3. ประโยชน์ เพื่อให้การปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิและการปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกประเภทบรรลุวัตถุประสงค์ หลักการ และเป้าหมายเดียวกัน โดยมีความเป็นธรรมและไม่เหลื่อมล้ำ ซึ่งรวมถึงตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษาซึ่งเป็นตำแหน่งแรกบรรจุเช่นเดียวกับข้าราชการประเภทอื่น +12. เรื่อง การขอขยายระยะเวลาดําเนินการจ่ายเงินชดเชยให้แก่น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ +คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ ดังนี้ +1. ขยายระยะเวลาดําเนินการจ่ายเงินชดเชยให้แก่น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพออกไปสองปี จนถึงวันที่ 24 กันยายน 2569 +2. แผนการลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพและร่างประกาศคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และมาตรการ เพื่อลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ +สาระสำคัญของเรื่อง +1.  พน. แจ้งว่า การจ่ายเงินชดเชยให้แก่น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ ได้แก่ น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 น้ำมันดีเซล หมุนเร็วธรรมดา B10 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B20 ตามนัยมาตรา 55 แห่งพระราชบัญญัติ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 จะครบกําหนดในวันที่ 24 กันยายน 2567 แต่ พน. เห็นว่ายังคงมีความจําเป็นต้องจ่ายเงินชดเชยดังกล่าวต่อไป เพื่อเป็นกลไกในการรักษา ระดับค่าการตลาดของน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ โดยการสร้างส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ เพื่อป้องกันผลกระทบกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในกลุ่มต่าง ๆ และยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรให้มีรายได้จากการขายพืชผลทางการเกษตร ก่อนสิ้นสุดระยะเวลาดําเนินการจ่ายเงินชดเชยดังกล่าวตามที่กําหนดไว้ ตามนัยมาตรา 55 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 +2. สํานักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ได้จัดทําแผนการลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ พ.ศ. 2568  - 2569 เพื่อให้การดําเนินงานในการลดการจ่ายเงินชดเชยดังกล่าวสอดคล้องกับมาตรา 55 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 และเพื่อให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถดําเนินการตามพันธกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพบรรลุตามเป้าประสงค์ที่กําหนดไว้ +ทั้งนี้ ภายหลังจากคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว กบน. จะออกประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์    วิธีการ เงื่อนไข และมาตรการ เพื่อลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพตามรายละเอียดของแผนการลดการจ่ายเงินชดเชยดังกล่าวต่อไป +13. เรื่อง ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น +คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินไม่เกิน 23,552.40 ล้านบาท ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้ +1. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวนไม่เกิน 2,059.54 ล้านบาท โดยจัดสรรให้แก่ สป.กค. สำหรับกองทุนฯ และให้นำเงินที่เหลือดังกล่าวไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ ต่อไป +2. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวนไม่เกิน 21,492.86 ล้านบาท โดยจัดสรรให้แก่ สป.กค. และให้นำเงินเหลือจ่ายดังกล่าวส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป +สาระสำคัญ +กระทรวงการคลังมีความจำเป็นต้องขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ +พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ เพื่อเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2567 ให้เป็นรูปธรรม +โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ ประกอบด้วย +(1) โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และ (2) โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านคนพิการ ดังนี้ +1. โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ +1.1 วัตถุประสงค์ เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพและเพิ่มศักยภาพของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (ผู้มีบัตรฯ) ตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (โครงการลงทะเบียนฯ) ปี 2565 ให้มีโอกาสเข้าถึงการใช้จ่ายที่จำเป็นในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มการบริโภคที่จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบและกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศในช่วงปลายปี 2567 +1.2 กลุ่มเป้าหมาย +1) ผู้ที่ผ่านคุณสมบัติโครงการลงทะเบียนฯ ปี 2565 ที่ได้ยืนยันตัวตน (e-KYC) สำเร็จแล้ว ตามฐานข้อมูลโครงการลงทะเบียนฯ ปี 2565 ของกระทรวงการคลัง และไม่เป็นคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการตามฐานข้อมูลของกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) +2) ผู้ที่ผ่านคุณสมบัติโครงการลงทะเบียนฯ ปี 2565 ที่ได้ยืนยันตัวตน (e-KYC) สำเร็จแล้ว เป็นคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการที่หมดอายุ ตามฐานข้อมูลของ พก. พม. +3) ผู้ที่ผ่านคุณสมบัติโครงการลงทะเบียนฯ ปี 2565 ที่ได้ยืนยันตัวตน (e-KYC) สำเร็จแล้ว เป็นคนพิการที่ได้รับเงินเบี้ยความพิการ ตามฐานข้อมูลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) และเมืองพัทยา แต่ไม่อยู่ในฐานข้อมูลของ พก. พม. +ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2567 จำนวนไม่เกิน 12,405,954 ราย อนึ่ง ไม่รวมถึงผู้ที่ผ่านคุณสมบัติโครงการลงทะเบียนฯ ปี 2565 ที่ได้ยืนยันตัวตน (e-KYC) สำเร็จแล้ว ซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ในสังกัด พม. ที่ พม. แจ้งยืนยันข้อมูลดังกล่าวให้กรมบัญชีกลาง +1.3 วิธีดำเนินการ +1) กรมบัญชีกลางดำเนินการจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมาย จำนวน 10,000 บาทต่อคน +โดยจะเริ่มทยอยจ่ายเงินตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2567 เป็นต้นไป ผ่านบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชนของกลุ่มเป้าหมาย สำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกรณีผู้ป่วยติดเตียงหรือผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป ที่ไม่สามารถผูกพร้อมเพย์ได้ ให้จ่ายเงินผ่านบัญชีเงินฝากธนาคารตามที่ได้แจ้งความประสงค์ในหนังสือให้ความยินยอมโอนเงินสวัสดิการเข้าบัญชีร่วมกับบุคคลอื่น หรือบุคคลอื่นไว้แล้ว ณ สำนักงานคลังจังหวัดหรือกรมบัญชีกลาง ตามแนวทางการจ่ายเงินของกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม (กองทุนฯ) +2) ในกรณีที่กรมบัญชีกลางจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมายไม่สำเร็จในครั้งแรกให้ดำเนินการจ่ายเงินซ้ำ (Retry) ให้แก่กลุ่มเป้าหมายดังกล่าวจำนวน 3 ครั้ง ดังนี้ +2.1) ครั้งที่ 1 ภายในวันที่ 22 ตุลาคม 2567 +2.2) ครั้งที่ 2 ภายในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 +2.3) ครั้งที่ 3 ภายในวันที่ 22 ธันวาคม 2567 +ทั้งนี้ เมื่อพ้นกำหนดการ Retry ครั้งที่ 3 แล้ว รัฐจะยุติการจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมาย และถือว่ากลุ่มเป้าหมายไม่ประสงค์รับเงินภายใต้โครงการ +1.4 ประโยชน์และผลกระทบ การดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้มีบัตรฯ และสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจโดยจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว เนื่องจากผู้มีบัตรฯ ถือเป็น ผู้มีรายได้น้อยที่มี MPC สูงกว่ากลุ่มประชากรที่มีรายได้สูง ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่จะใช้จ่ายเงินหมด ทั้งจำนวน ทั้งนี้ คาดว่าการดำเนินโครงการจะส่งผลให้ GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.3 ต่อปีเมื่อเทียบกับกรณีไม่มีโครงการ +1.5 งบประมาณ วงเงินงบประมาณ รวมจำนวนไม่เกิน 124,059.54 ล้านบาท ประกอบด้วย +1) งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลางรายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวนไม่เกิน 122,000 ล้านบาท +2) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวนไม่เกิน 2,059.54 ล้านบาทโดยจัดสรรให้แก่สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง (สป.กค.) สำหรับกองทุนฯ และให้นำเงินที่เหลือดังกล่าวไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ ต่อไป +2. โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านคนพิการ +2.1 วัตถุประสงค์ เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพและเพิ่มศักยภาพของคนพิการซึ่งเป็น +ผู้เปราะบางที่ขาดความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ให้มีโอกาสเข้าถึงการใช้จ่ายที่สามารถสนองตอบต่อความต้องการและความจำเป็นของคนพิการแต่ละประเภทในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มการบริโภคที่จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบและกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศในช่วงปลายปี 2567 ได้อย่างรวดเร็ว +2.2 กลุ่มเป้าหมาย +1) คนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการที่ยังไม่หมดอายุ ตามฐานข้อมูลของ พก. พม. +2) คนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการที่หมดอายุ ตามฐานข้อมูลของ พก. พม. และไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งจะต้องต่ออายุบัตรประจำตัวคนพิการภายในวันที่ 3 ธันวาคม 2567 และ พก. พม. แจ้งยืนยันข้อมูลดังกล่าวให้กรมบัญชีกลางทราบ จึงจะได้รับสิทธิ +3) คนพิการที่ไม่มีบัตรประจำตัวคนพิการในฐานข้อมูลของ พก. พม. แต่ได้รับเงินเบี้ยความพิการตามฐานข้อมูลของ อปท. กทม. และเมืองพัทยา และไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซึ่งจะต้องทำบัตรประจำตัว +คนพิการภายในวันที่ 3 ธันวาคม 2567 และ พก. พม. แจ้งยืนยันข้อมูลดังกล่าวให้กรมบัญชีกลางทราบ จึงจะได้รับสิทธิ +4) คนพิการที่ไม่มีบัตรประจำตัวคนพิการในฐานข้อมูลของ พก. พม. แต่ได้รับเงินเบี้ยความพิการตามฐานข้อมูลของ อปท. กทม. และเมืองพัทยา มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและไม่ได้ยืนยันตัวตน (e-YC) ภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2567 ตามฐานข้อมูลโครงการลงทะเบียนฯ ปี 2565 ของกระทรวงการคลัง ซึ่งจะต้องทำบัตรประจำตัวคนพิการภายในวันที่ 3 ธันวาคม 2567 และ พก. พม. แจ้งยืนยันข้อมูลดังกล่าวให้กรมบัญชีกลางทราบ จึงจะได้รับสิทธิ +ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2567 จำนวนไม่เกิน 2,149,286 ราย อนึ่ง ไม่รวมถึงคนพิการที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ในสังกัด พม. ซึ่ง พม. แจ้งยืนยันข้อมูลคนพิการดังกล่าวให้กรมบัญชีกลาง +2.3 วิธีดำเนินการ +1) กรมบัญชีกลางดำเนินการจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมาย จำนวน 10,000 บาทต่อคน ผ่านช่องทาง ดังต่อไปนี้ +1.1) ช่องทางการรับเงินเบี้ยความพิการที่ได้รับข้อมูลจาก อปท. กทม. และเมืองพัทยา +1.2) บัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชนของคนพิการกลุ่มดังกล่าวสำหรับคนพิการที่ไม่ปรากฏข้อมูลช่องทางการรับเงินเบี้ยความพิการตามข้อ 1.1 +2) กรมบัญชีกลางดำเนินการจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมาย จำนวน 10,000 บาทต่อคน โดยจะเริ่มทยอยจ่ายเงินตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2567 เป็นต้นไป และในกรณีที่กรมบัญชีกลางจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมายไม่สำเร็จในครั้งแรกให้ดำเนินการจ่ายเงินซ้ำ (Retry) ให้แก่กลุ่มเป้าหมายดังกล่าวจำนวน 3 ครั้ง ดังนี้ +2.1) ครั้งที่ 1 ภายในวันที่ 22 ตุลาคม 2567 +2.2) ครั้งที่ 2 ภายในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 +2.3) ครั้งที่ 3 ภายในวันที่ 22 ธันวาคม 2567 +ทั้งนี้ เมื่อพ้นกำหนดการ Retry ครั้งที่ 3 แล้ว รัฐจะยุติการจ่ายเงินให้แก่กลุ่มเป้าหมาย และถือว่ากลุ่มเป้าหมายไม่ประสงค์รับเงินภายใต้โครงการ +2.4 ประโยชน์และผลกระทบ การดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านคนพิการ จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนพิการ และสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจโดยจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากคนพิการโดยส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้น้อยที่มี MPC สูง ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่จะใช้จ่ายเงินหมดทั้งจำนวน ทั้งนี้ คาดว่าการดำเนินโครงการจะส่งผลให้ GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.05 ต่อปี เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีโครงการ +2.5 งบประมาณ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวนไม่เกิน 21,492.86 ล้านบาท โดยจัดสรรให้แก่ สป.กค. และให้นำเงินเหลือจ่ายดังกล่าวส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป +ประโยชน์และผลกระทบ +โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สำหรับผู้มีบัตรฯ จำนวนไม่เกิน 12,405,954 ราย และโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านคนพิการ สำหรับคนพิการจำนวนไม่เกิน 2,149,286 ราย โดยได้รับการสนับสนุนเงินไม่เกิน 10,000 บาทต่อคน รวมเป็นกลุ่มเป้าหมายจำนวนไม่เกิน 14,555,240 ราย จะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพและเพิ่มศักยภาพให้ผู้มีบัตรฯ และคนพิการสามารถมีโอกาสเข้าถึงการใช้จ่ายที่จำเป็นเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ตลอดจนเพิ่มการบริโภคที่จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบและกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศในช่วงปลายปี 2567 ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการดำเนินโครงการทั้ง 2 โครงการดังกล่าว จะทำให้มีเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวนประมาณ 145,552.40 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.35 ต่อปี เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีโครงการ นอกจากนี้เมื่อผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้น จะช่วยก่อให้เกิดการผลิต การค้าขาย การจ้างงาน และการคมนาคมขนส่งตามมา ซึ่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นจะเอื้อให้ภาครัฐสามารถจัดเก็บภาษีอากรได้เพิ่มขึ้นในระยะต่อไป +5. ค่าใช้จ่ายและแหล่งที่มา หรือการสูญเสียรายได้ +ประมาณการวงเงินงบประมาณในการดำเนินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ รวมจำนวนไม่เกิน 145,552.40 ล้านบาท ประกอบด้วย +5.1 เงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวนไม่เกิน 122,000 ล้านบาท +5.2 เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวนไม่เกิน 23,552.40 ล้านบาท +14.  เรื่อง ขอความเห็นชอบหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน +ปี 2567 และขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2567 +คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทา +สาธารณภัย เสนอ ดังนี้ +1. เห็นชอบหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2567 +2. อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ กรณีฉุกเฉิน  กรณีอุทกภัย  จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 3,045,519,000 บาท เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2567 ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2567 โดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยรับงบประมาณและจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยผ่านธนาคารออมสิน ให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป รวมทั้งให้สามารถถัวจ่ายข้ามจังหวัดได้ +สาระสำคัญ +รัฐบาลได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเสนอขอค่าดำรงชีพเบื้องต้นแก่ครอบครัวผู้ประสบอุทกภัย เป็นกรณีพิเศษ ดังนี้ +1) กรณีที่อยู่อาศัยประจำอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมขัง ติดต่อกันตั้งแต่ 1 วัน (24 ชั่วโมง) แต่ไม่เกิน 7 วัน และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย หรือที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขังเกินกว่า 7 วัน แต่ไม่เกิน 30 วัน ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 5,000 บาท +2) กรณีที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมขัง ติดต่อกันเกินกว่า 30 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 7,000 บาท +3) กรมีที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่น้ำท่วมขัง ติดต่อกันเกินกว่า 60 วัน ขึ้นไป ให้ความช่วยเหลือ ครัวเรือนละ 9,000 บาท โดยมอบหมายให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้เสนอของบประมาณ และกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินดังกล่าว +หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2567                         หลักเกณฑ์ +1. เป็นกรณีอุทกภัยที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อที่อยู่อาศัยในช่วงฤดูฝน ปี 2567 ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2567 ทั้งกรณีน้ำท่วมโดยฉับพลัน น้ำไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง รวมถึงการระบายน้ำ จนส่งผลกระทบทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตได้ +2. เป็นที่อยู่ที่ประสบอุทกภัย ตามข้อ 1 และได้รับผลกระทบกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังต่อไปนี้ +(1) ที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขัง ตั้งแต่ 1 วัน (24 ชั่วโมง) แต่ไม่เกิน 7 วัน และทรัพย์สินได้รับความเสียหาย +(2) ที่อยู่อาศัยประจำถูกน้ำท่วมขัง เกินกว่า 7 วันขึ้นไป +เงื่อนไข +1. ต้องเป็นบ้านที่อยู่อาศัยประจำในพื้นที่ที่ได้ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัยและหรือประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน และ +(1) มีหนังสือรับรองผู้ประสบภัยที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกให้ (ตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 มาตรา 30) และ +(2) ต้องผ่านการประชาคมหมู่บ้านของแต่ละพื้นที่ประสบสาธารณภัย และ +(3) ผ่านการตรวจสอบและยืนยันข้อมูลจากคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ก.ช.ภ.อ.) และคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด (ก.ช.ภ.จ.) สำหรับกรุงเทพมหานคร ต้องผ่านการตรวจสอบและยืนยันข้อมูลจากสำนักงานเขตและกรุงเทพมหานคร +2. กรณีที่ประสบภัยหลายครั้ง ให้ได้รับความช่วยเหลือเพียงครั้งเดียว +ทั้งนี้ ให้จังหวัดที่ประสบภัยเร่งรัดดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องตามหลักเกณฑ์และช่วยเหลือให้แล้วเสร็จ ภายใน 90 วัน ตั้งแต่วันที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ +ประโยชน์และผลกระทบ +ครัวเรือนผู้ประสบภัย จำนวน 338,391 ครัวเรือน ตามข้อมูลพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ/พื้นที่ประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย/พื้นที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน จำนวน 57 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกระบี่ กาญจนบุรี กาฬสินธุ์ กำแพงเพชร ขอนแก่น จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชัยภูมิ ชลบุรี เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง ตราด ตาก นนทบุรี นครนายก นครปฐม นครพนม นครสวรรค์นครราชสีมา นครศรีธรรมราช น่าน +บึงกาฬ ปราจีนบุรี พระนครศรีอยุธยา พังงา พะเยา พิจิตร พิษณุโลกเพชรบูรณ์ แพร่ ภูเก็ต มหาสารคาม มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยะลา ระยอง ราชบุรี ร้อยเอ็ด ลำปาง ลำพูน เลย ศรีสะเกษ สกลนคร สตูล สระแก้ว สระบุรี สุโขทัย สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี หนองคาย หนองบัวลำภู อ่างทอง อุทัยธานี อุดรธานี อุตรดิตถ์ และจังหวัดอุบลราชธานี ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง และเพื่อให้การดำรงชีพของประชาชนเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว +15. เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อใช้จ่ายสำหรับงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายชดใช้เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน +คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเงินงบประมาณรายรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 2,000,000,000.00 บาท เพื่อใช้จ่ายสำหรับงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายชดใช้เงินทดรองราชการเพื่อช่วยหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน +สาระสำคัญ +สำนักงบประมาณได้นำเรื่องดังกล่าวกราบเรียนนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้พิจารณาให้ความเห็นชอบให้กรมบัญชีกลางใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 2,000,000,000.00 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายชดใช้เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน เพื่อให้ส่วนราชการมีเงินทดรองราชการหมุนเวียนได้อย่างต่อเนื่อง สามารถให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที +ประโยชน์และผลกระทบ +เพื่อให้กรมบัญชีกลางมีงบประมาณงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายชดใช้เงินทดรองราชการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน สำหรับชดใช้คืนเงินทดรองราชการฯ ให้แก่ส่วนราชการที่ขอรับการจัดสรรงบประมาณ  และส่วนราชการมีวงเงินทดรองราชการหมุนเวียนได้อย่างต่อเนื่อง สามารถให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทันท่วงที +ต่างประเทศ +16. เรื่อง การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐคีร์กีซ ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางพิเศษ/หนังสือเดินทางราชการ +คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้ +1. เห็นชอบต่อการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐคีร์กีซ (คีร์กีซ) ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางพิเศษ/หนังสือเดินทางราชการ (Agreement between the Cabinet of Ministers of the Kyrgyz Republic and the Government of the Kingdom of Thailand on Visa Exemption for Holders of Diplomatic and Service/Official Passports) (ความตกลงฯ) +2. เห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ทั้งนี้ ในกรณีมอบหมายผู้แทน ให้ กต. จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามที่ได้รับมอบหมายดังกล่าว +3. เห็นชอบให้ กต. ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ +ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ โดยไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้ กต. สามารถดำเนินการได้โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว +สาระสำคัญ +1. คีร์กีซตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียกลาง โดยประเทศไทยได้รับรองเอกราชของคีร์กีซเมื่อวันที่ +26 ธันวาคม2534 และได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับคีร์กีซเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2535 รวมทั้งได้เริ่มการเจรจาร่างความตกลงฯ มาตั้งแต่ปี 2553 และมีการแลกเปลี่ยนร่างโต้ตอบความตกลงฯ ระหว่างกันมาโดยตลอด ทั้งนี้ ฝ่ายคีร์กีซได้แสดงความพร้อมที่จะลงนามร่างความตกลงดังกล่าวและเสนอให้ฝ่ายไทยพิจารณาความเป็นไปได้ในการลงนามความตกลงฯ ในห้วงการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ครั้งที่ 79 ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 21 - 27 กันยายน 2567 +2. ร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการระบุรายละเอียดและเงื่อนไขของการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางพิเศษ/หนังสือเดินทางราชการระหว่างไทยและคีร์กีซ โดยสรุปได้ ดังนี้ +หัวข้อ +รายละเอียด +ข้อตกลง +(1) ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตหรือหนังสือเดินทางพิเศษของคู่ภาคี (ไทยและคีร์กีซ) ที่มีอายุใช้ได้จะไม่ต้องรับการตรวจลงตราสำหรับการเดินทางเข้า ออก ผ่าน หรือพำนักอยู่ในดินแดนของภาคีอีกฝ่ายเป็นระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน นับจากวันที่เดินทางเข้า โดยมีเงื่อนไขว่าบุคคลเหล่านั้นจะต้องไม่ทำงานใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินกิจการของตนเองหรือกิจกรรมส่วนตัวอื่นในดินแดนของภาคีอีกฝ่าย +(2) ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตหรือหนังสือเดินทางพิเศษของภาคีที่มีอายุใช้ได้ ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นสมาชิกในคณะผู้แทนทางการทูต หรือกงสุลของภาคีหรือบุคคลที่เป็นผู้แทนของภาคีประจำองค์การระหว่างประเทศในดินแดนของภาคีอีกฝ่าย รวมถึงบุคคลในครัวเรือนของบุคคลดังกล่าวที่ถือหนังสือเดินทางทูตหรือหนังสือเดินทางพิเศษที่มีอายุใช้ได้ของภาคีสามารถเดินทางเข้า พำนักอยู่ หรือออกจากดินแดนของภาคีอีกฝ่าย โดยไม่ต้องได้รับการตรวจลงตราเป็นระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน ระยะเวลาดังกล่าวจะต้องได้รับการขยายออกไปจนสิ้นสุดวาระการปฏิบัติหน้าที่เมื่อ กต. ของภาคีหรือสถานเอกอัครราชทูตของภาคีที่มีเขตอาณาครอบคลุมดินแดนของรัฐภาคีอีกฝ่ายได้ร้องขอ +(3) ภาคีฝ่ายหนึ่งจะต้องแจ้งภาคีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางการทูตโดยทันทีหากมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายและข้อบังคับของตนที่เกี่ยวข้องที่ใช้บังคับกับการเข้าเมืองการเดินทางและการพำนักอยู่ของคนต่างชาติ +(4) หน่วยงานที่มีอำนาจของรัฐภาคีแต่ละฝ่ายจะมีสิทธิในการปฏิเสธการเดินทางเข้ามาหรือยุติการพำนักอยู่ของบุคคลใด ๆ ซึ่งได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราภายใต้ความตกลงนี้บนพื้นฐานของความสงบเรียบร้อยสาธารณสุขและความมั่นคงแห่งชาติ +การดำเนินการ +เกี่ยวกับ +หนังสือเดินทาง +(1) ภาคีจะต้องส่งตัวอย่างของหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางพิเศษ/หนังสือเดินทางราชการที่มีอายุใช้ได้ให้แก่ภาคีอีกฝ่ายหนึ่งผ่านช่องทางการทูตอย่างน้อย 30 วัน ก่อนการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ +(2) ในกรณีที่รัฐภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะใช้หนังสือเดินทางทูตหรือหนังสือเดินทางพิเศษ/หนังสือเดินทางราชการแบบใหม่ ภาคีดังกล่าวจะต้องส่งตัวอย่างของหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางพิเศษ/หนังสือเดินทางราชการแบบใหม่นั้นให้แก่ภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง ผ่านช่องทางการทูตอย่างน้อย 30 วัน ก่อนการเริ่มใช้งาน +การระงับ +การมีผลใช้บังคับ +ภาคีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจระงับการปฏิบัติตามความตกลงฯ ทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการชั่วคราวเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย สาธารณสุขและความมั่นคงแห่งชาติ โดยภาคีนั้นจะต้องแจ้งเรื่องการระงับและการยกเลิกการระงับการปฏิบัติตามความตกลงฯ แก่ภาคีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางการทูตล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วัน +การแก้ไข +ความตกลงนี้อาจได้รับการแก้ไขได้โดยการตกลงร่วมกันเป็นลายลักษณ์อักษรของคู่ภาคี +การระงับข้อพิพาท +ข้อพิพาทใด ๆ อันเกิดจากการดำเนินการหรือการปฏิบัติตามความตกลงนี้ จะได้รับการระงับโดยการเจรจาและการปรึกษาหารือระหว่างคู่ภาคี +ผลบังคับใช้ +ความตกลงฯ จะมีผลใช้บังคับในวันที่ 60 นับจากวันที่ได้รับแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งสุดท้ายโดยคู่ภาคีว่าได้ดำเนินการตามกระบวนการภายในที่จำเป็นของตนเพื่อให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับเสร็จสิ้นแล้ว และความตกลงฯ จะมีผลใช้บังคับเป็นระยะเวลา 5 ปี และจะได้รับการต่ออายุอัตโนมัติครั้งละ 5 ปี จนกว่าจะได้รับการบอกเลิกเป็นลายลักษณ์อักษรจากภาคีอีกฝ่ายหนึ่งล่วงหน้าเป็นเวลา 90 วัน +3. กต. แจ้งว่า ได้สอบถามความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว โดยทุกหน่วยงานไม่มีข้อขัดข้องต่อการจัดทำความตกลงฯ +17. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารท่าทีไทยสําหรับการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 79 และร่างคํามั่นเพื่ออนาคต พร้อมด้วยร่างเอกสารภาคผนวก 2 ฉบับ +คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.)  เสนอ ดังนี้ +1. เห็นชอบต่อร่างเอกสาร ดังนี้ +1.1 ร่างเอกสารท่าทีไทยสําหรับการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ครั้งที่ 79 (ท่าทีไทยฯ) (การประชุมสมัชชาสหประชาชาติฯ) +1.2 ร่างคํามั่นเพื่ออนาคต +1.3 ร่างเอกสารภาคผนวก 2 ฉบับ ได้แก่ +1.3.1 ร่างคํามั่นด้านดิจิทัลระดับโลก +1.3.2 ร่างปฏิญญาว่าด้วยอนุชนรุ่นหลัง +ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขร่างเอกสารข้างต้นในส่วนที่มิใช่สาระสําคัญหรือขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ขออนุมัติให้ กต. พิจารณาและดําเนินการโดยไม่ต้อง ขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก +2. เห็นชอบให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมสุดยอดเพื่ออนาคตหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างคํามั่นเพื่ออนาคต (ตามข้อ 1.2) และร่างเอกสารภาคผนวก 2 ฉบับ (ตามข้อ 1.3) รวม 3 ฉบับ +สาระสําคัญของเรื่อง +1. การประชุมสมัชชาสหประชาชาติฯ จะเปิดสมัยการประชุมในวันที่ 10 กันยายน 2567 +ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยการประชุมในช่วงสัปดาห์ผู้นําจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 - 30 กันยายน 2567 ซึ่งท่าทีไทยสําหรับการประชุมสมัชชาสหประชาชาติฯ มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้ +ร่างท่าทีไทยสําหรับการประชุมสมัชชาสหประชาชาติฯ มีสาระสําคัญเป็นกรอบแนวทางในการประชุมและเจรจาข้อมติซึ่งครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ตามระเบียบวาระ ของการประชุมสมัชชาสหประชาชาติฯ ครอบคลุมข้อมูลภูมิหลังและท่าทีไทยต่อข้อมติต่าง ๆ ที่จะมีการหารือ ในที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติฯ ภายใต้ +9 หมวด +หมวด (เอ) การส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างยั่งยืนและการพัฒนาที่ยั่งยืน ตามข้อมติของสมัชชาสหประชาชาติ และผลการประชุมของสหประชาชาติที่เกี่ยวข้อง +หมวด (บี) การรักษาสันติภาพและความมั่นคง ระหว่างประเทศ +หมวด (ซี) พัฒนาการในแอฟริกา +หมวด (ดี) การส่งเสริมสิทธิมนุษยชน +หมวด (อี) การประสานงานอย่างมีประสิทธิภาพในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม +หมวด (เอฟ) การส่งเสริมความยุติธรรมและกฎหมายระหว่างประเทศ +หมวด (จี) การลดอาวุธ +หมวด (เอช) การควบคุมยาเสพติด การป้องกันอาชญากรรมและการต่อต้านการก่อการร้ายระหว่างประเทศทุกรูปแบบ +หมวด (ไอ) การบริหารและองค์กรอื่น ๆ +2. การประชุมสุดยอดเพื่ออนาคตในวันที่ 22 กันยายน 2567 จะมีการรับรองคำมั่นเพื่ออนาคต พร้อมด้วยร่างเอกสารภาคผนวก 2 ฉบับ ได้แก่ ร่างคำมั่นด้านดิจิทัลระดับโลกและร่างปฏิญญาว่าด้วยอนุชนรุ่นหลัง ซึ่งจะเป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุมดังกล่าว โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้ +2.1 ร่างคำมั่นเพื่ออนาคต มีสาระสำคัญเพื่อแสดงเจตนารมณ์ของรัฐสมาชิกสหประชาชาติในการส่งเสริมความร่วมมือที่มีสหประชาชาติเป็นแกนกลางใน 5 ด้าน ดังนี้ (1) การพัฒนาที่ยั่งยืนและการสนับสนุนเงินทุนเพื่อการพัฒนา (2) สันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ (3) วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรมและ +ความร่วมมือด้านดิจิทัล (4) เยาวชนและอนุชนรุ่นหลัง (5) การเปลี่ยนแปลงธรรมาภิบาลโลก +2.2 เอกสารภาคผนวกของร่างคํามั่นเพื่ออนาคต มีจํานวน 2 ฉบับ ได้แก่ ร่างคํามั่นด้านดิจิทัลระดับโลกและร่างปฏิญญาว่าด้วยอนุชนรุ่นหลัง มีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้ +2.2.1 ร่างคํามั่นด้านดิจิทัลระดับโลก มีสาระสําคัญ เพื่อสร้างกรอบการทํางานระดับโลกที่ครอบคลุมการปิดช่องว่างด้านดิจิทัล ข้อมูล และนวัตกรรม โดยมีวัตถุประสงค์ เช่น (1) ลดช่องว่างในการเข้าถึงระบบดิจิทัลและเร่งรัดความก้าวหน้าตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (2) ขยายการมีส่วนร่วมและผลประโยชน์จากเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับทุกคน (3) ส่งเสริมพื้นที่ดิจิทัลที่ครอบคลุม เปิดกว้าง ปลอดภัย และมั่นคง +2.2.2 ร่างปฏิญญาว่าด้วยอนุชนรุ่นหลัง มีสาระสําคัญ เพื่อปกป้องความต้องการและผลประโยชน์ของอนุชนรุ่นหลัง ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของคนรุ่นปัจจุบัน รวมถึงการตระหนักถึงบทบาทสําคัญของเด็กและเยาวชน ในฐานะตัวแทนของการเปลี่ยนแปลง รายละเอียดสรุปได้ ดังนี้ +หัวข้อ +รายละเอียด +หลักการ เช่น +(1) ส่งเสริมความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและการสื่อสารกันระหว่างรุ่น +(2) ส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่สะอาด สุขภาพดี และยั่งยืน +(3) การส่งเสริมการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมอย่างรับผิดชอบ และมีจริยธรรม +คำมั่น +(1) ส่งเสริมเสถียรภาพ สันติภาพ และความมั่นคงระหว่างประเทศ +(2) สร้างสังคมที่สงบสุข ครอบคลุม และยุติธรรม +(3) ดําเนินนโยบายและโครงการเพื่อบรรลุความเท่าเทียมทางเพศ +(4) การให้เกียรติ ส่งเสริม และรักษาความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมรดก ทางวัฒนธรรม +การดำเนินการ +(1) ตระหนักถึงบทบาทหลักและความรับผิดชอบของรัฐบาลในทุกระดับที่สอดคล้องกับ +กรอบรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศ ในการปกป้องความต้องการและผลประโยชน์ของอนุชน +รุ่นหลัง +(2) ลงทุนในการเพิ่มขีดความสามารถเพื่อการเตรียมความพร้อมและตอบสนองต่อวิกฤตและความท้าทายระดับโลกในอนาคตให้ดียิ่งขึ้น +(3) การดําเนินแนวทางแบบองค์รวมภาครัฐมาใช้ในการประสานงาน ทั้งในระดับชาติ และระดับท้องถิ่น เพื่อการพัฒนา ดําเนินการ และการประเมินผลของนโยบายในการคุ้มครอง ความต้องการและผลประโยชน์ของอนุชนรุ่นหลัง +(4) เสริมสร้างความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา                ภาควิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และภาคเอกชน และส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรุ่น เพื่อคุ้มครองความต้องการและผลประโยชน์ของอนุชนรุ่นหลัง +3. ประโยชน์ที่ได้รับ +3.1  ร่างเอกสารท่าทีไทยฯ เป็นเอกสารที่ใช้เป็นกรอบแนวทาง ในการประชุมและเจรจาข้อมติซึ่งครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ตามระเบียบวาระของการประชุมสมัชชาสหประชาชาติฯ +3.2 ร่างเอกสารคํามั่นเพื่ออนาคต และร่างเอกสารภาคผนวก 2 ฉบับ สะท้อนประเด็นที่รัฐสมาชิกสหประชาชาติแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะผลักดันสําหรับอนาคต +18. เรื่อง  ขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ด้านเศรษฐกิจเพื่อให้ไทยได้ให้การรับรอง และ/หรือให้ความเห็นชอบในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 56 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง การประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 24 และการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 44 และ 45 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง +คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ดังนี้ +1. เห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ด้านเศรษฐกิจเพื่อให้ไทยได้ให้การรับรอง และ/หรือให้ความเห็นชอบในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 56 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง การประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 24 และการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 44 และ 45 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง จำนวน 4 ฉบับ (1) ร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศสมาชิกสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (Joint Declaration on Economic Cooperation between the Association of Southeast Asian Nations (ASEAN) and the Member States of the European Free Trade Association (EFTA))  (2) ร่างแถลงการณ์ร่วมในการสรุปผลการเจรจายกระดับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - จีน อย่างมีนัยสำคัญ (Joint Statement on the Substantial Conclusion of the ASEAN - China Free Trade Area (ACFTA) Upgrade Negotiations) (3) ร่างถ้อยแถลงผู้นำอาเซียนบวกสามว่าด้วยการเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาค (ASEAN Plus Three Leaders’ Statement on Strengthening the Connectivity of Regional Supply Chains)  (4) ร่างปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการเสริมสร้างการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานระหว่างกัน (ASEAN Leaders’ Declaration on Enhancing Supply Chain Connectivity) +2. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ร่วมรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ข้อ 2.1 ในฐานะรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน +3. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ให้ความเห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ข้อ 2.2 และ ข้อ 2.3 ในฐานะรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ก่อนเสนอต่อนายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ร่วมรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์ดังกล่าว ในฐานะผู้นำอาเซียนต่อไป +4. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ให้ความเห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ข้อ 2.4 ในฐานะรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ก่อนเสนอรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้ความเห็นชอบในฐานะ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจอาเซียน และให้นายกรัฐมนตรี หรือผู้แทน +ที่ได้รับมอบหมายให้การรับรองในฐานะผู้นำอาเซียน ตามลำดับ +สาระสำคัญ +1. สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในฐานะประธานอาเซียน ปี 2567 มีกำหนดจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีเศรษฐกิจ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ และผู้นำอาเซียน ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว ดังนี้ +1.1 การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 56 และการประชุมที่เกี่ยวข้องระหว่างวันที่ 15 - 22 กันยายน 2567 +1.2 การประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 24 ระหว่างวันที่ 6 - 7 ตุลาคม 2567 +1.3 การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 44 และ 45 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้องระหว่างวันที่ 9 - 11 ตุลาคม 2567 +2. ในช่วงการประชุมตามข้อ 1 จะมีการรับรอง และ/หรือให้ความเห็นชอบเอกสารผลลัพธ์ฯ ในระดับรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจอาเซียน และผู้นำอาเซียน จำนวน 4 ฉบับ โดยสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ +2.1 ร่างแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศสมาชิกสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (Joint Declaration on Economic Cooperation between the Association of Southeast Asian Nations (ASEAN) and the Member States of the European Free Trade Association (EFTA)) : เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ของอาเซียนและประเทศสมาชิกเอฟตา ที่จะยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนระหว่างกันให้เป็นไปอย่างยั่งยืนและครอบคลุม โดยการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าการลงทุนครอบคลุมประเด็น เช่น การค้าสินค้าและการอำนวยความสะดวกทางการค้า การค้าบริการ การลงทุน พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และทรัพย์สินทางปัญญา และการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจครอบคลุมประเด็น เช่น การแข่งขัน การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ นวัตกรรมและเทคโนโลยีเกิดใหม่ การพัฒนาอย่างยั่งยืน และการคุ้มครองผู้บริโภค นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายจะสนับสนุนการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียน และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนโดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) +2.2 ร่างแถลงการณ์ร่วมในการสรุปผลการเจรจายกระดับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - จีน อย่างมีนัยสำคัญ (Joint Statement on the Substantial Conclusion of the ASEAN-China Free Trade Area (ACFTA) Upgrade Negotiations) : เป็นแถลงการณ์ของผู้นำอาเซียนและจีนประกาศร่วมกัน ทั้งนี้ แถลงการณ์ดังกล่าวเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญ ด้านเศรษฐกิจของอาเซียน (Priority Economic Deliverables: PEDs) ภายใต้วาระการเป็นประธานอาเซียนของ สปป.ลาว ปี 2567 +2.3 ร่างถ้อยแถลงผู้นำอาเซียนบวกสามว่าด้วยการเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาค (ASEAN Plus Three Leaders’ Statement on Strengthening the Connectivity of Regional Supply Chains) : เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของผู้นำอาเซียนบวกสามที่จะเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาคให้เกิดความยืดหยุ่น ยั่งยืน และปลอดภัย รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพของการเคลื่อนย้ายสินค้าการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานและการค้าบริการอย่างเสรี และส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและการบูรณาการในระดับภูมิภาคผ่านความร่วมมือ รวมถึงการขับเคลื่อนประเด็นใหม่ ๆ อาทิ การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว เศรษฐกิจภาคทะเล และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ +2.4 ร่างปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการเสริมสร้างการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานระหว่างกัน (ASEAN Leaders’ Declaration on Enhancing Supply Chain Connectivity) : เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ของผู้นำเพื่อ (1) ยกระดับนวัตกรรม ความสามารถในการแข่งขัน และความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค (2) เร่งการเจรจาและการปรับปรุงข้อตกลงการค้าเสรีภายในและภายนอกของอาเซียน (3) เสริมสร้างการเชื่อมโยงจากผู้ผลิตถึงผู้บริโภค (4) ส่งเสริมการนำองค์ประกอบด้านความยั่งยืนและเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ในห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาค เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนในอาเซียน (5) ขับเคลื่อนการประยุกต์ใช้และการผสมผสานเทคโนโลยีขั้นสูง (6) เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และ (7) เพิ่มขีดความสามารถของ MSMES ในภูมิภาค ทั้งนี้ เอกสารดังกล่าวเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจของอาเซียน ปี 2567 +ประโยชน์และผลกระทบ +ร่างเอกสารผลลัพธ์ฯ ทั้ง 4 ฉบับดังกล่าว เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียน คู่เจรจา และภาคีภายนอกของอาเซียน ในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรอบด้าน และต่อยอดการดำเนินงานความร่วมมือภายใต้กรอบความตกลงด้านการค้าระหว่างอาเซียนกับคู่เจรจา และภาคีภายนอกของอาเซียน ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยในการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจต่าง ๆ เพื่อขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนของไทย และเสริมสร้างขีดความสามารถใหม่ ๆ อาทิ การเสริมสร้างการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานระหว่างกัน การยกระดับความตกลง FTA ให้มีความทันสมัยและรองรับรูปแบบการค้าใหม่เพื่อนำไปสู่การขยายการค้าและการลงทุนในภูมิภาค การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และการเปลี่ยนผ่านสีเขียว ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล โดยไม่ก่อให้เกิดพันธกรณีทางกฎหมายเพิ่มเติมต่อประเทศไทยแต่อย่างใด +19. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนทางการค้าที่แน่นแฟ้น และร่างแผนการดำเนินงานสหราชอาณาจักร-ไทย ฉบับที่ 2 +คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ ดังนี้ +1. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนทางการค้าที่แน่นแฟ้น และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว +2. เห็นชอบร่างแผนการดำเนินงานสหราชอาณาจักร-ไทย ฉบับที่ 2 และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างเอกสารดังกล่าว +3. ทั้งนี้ หากในการหารือร่วมมีผลให้มีการปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารหรือมีการตกลงในประเด็นอื่น ๆ ด้านเศรษฐกิจการค้าที่นอกเหนือจากข้อ 4 ที่ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย หรือช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าสองฝ่าย โดยไม่มีการจัดทำเป็นความตกลงหรือหนังสือสัญญาขึ้นมา ขอให้กระทรวงพาณิชย์และผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการหารือดังกล่าวสามารถดำเนินการได้ และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบในภายหลัง +สาระสำคัญ +กระทรวงพาณิชย์ได้จัดการประชุมเตรียมการฝ่ายไทยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2566 และการประชุมเพื่อพิจารณาและขอรับความเห็นต่อร่างบันทึกความเข้าใจฯ ว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนทางการค้าที่แน่นแฟ้น (ETP) และแผนการดำเนินงานสหราชอาณาจักร-ไทย ฉบับที่ 2 รวมทั้ง ได้หารือกับกระทรวงธุรกิจและการค้าของสหราชอาณาจักรเพื่อดำเนินการจัดทำร่างเอกสารทั้ง 2 ฉบับข้างต้น โดยสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นต่อร่างเอกสารฯ เป็นระยะ และสามารถหาข้อสรุปร่วมกันได้แล้ว ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ส่งร่างเอกสารดังกล่าวให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณา และได้ปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารฯ ให้เป็นไปตามความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยแล้ว โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ +1. ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักร   บริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนทางการค้าที่แน่นแฟ้น (Memorandum of Understanding between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland for an Enhanced Trade Partnership) เป็นบันทึกความเข้าใจที่ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ในกรอบระยะเวลา 2 ปี โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ลงนาม เพื่อเป็นกลไกในการส่งเสริมการยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนของสองฝ่ายให้เป็นไปอย่างแน่นแฟ้นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แสวงหาแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศเพื่อขจัดอุปสรรคทางการค้า ช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้า รวมถึงเป็นเวทีแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เกี่ยวข้อง และส่งเสริมความร่วมมือในสาขายุทธศาสตร์ที่สองฝ่ายเห็นประโยชน์ร่วมกัน มีเป้าหมายเพื่อช่วยขับเคลื่อนความสัมพันธ์ทางการค้าที่มีความทะเยอทะยานสูง และสนับสนุนเป้าหมายร่วมกันในการเพิ่มมูลค่าทางการค้าให้มีสถิติใหม่ที่สูงกว่าเดิม โดยเป็นการต่อยอดจากแผนการดำเนินงาน +สหราชอาณาจักร - ไทยฉบับแรก และขยายสาขาความร่วมมือใหม่ ๆ เพื่อริเริ่มสร้างความรู้ความเข้าใจระหว่างกัน รวม 20 สาขา ได้แก่ (1) ยานยนต์ (2) ดิจิทัล (3) การศึกษา (4) มาตรฐาน (5) เกษตร อาหาร และเครื่องดื่ม (6) การลงทุน (7) มาตรการทางเทคนิค (8) สุขภาพ (9) ศุลกากร (10) การแข่งขัน การอุดหนุน และรัฐวิสาหกิจ (11) บริการทางการเงิน (12) พหุภาคี (13) ทรัพย์สินทางปัญญา (14) การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ (15) การค้าบริการ (16) มาตรการเยียวยาทางการค้า (17) สิ่งแวดล้อม (18) การเติบโตอย่างสะอาด (19) แรงงาน และ (20) การท่องเที่ยว +2. ร่างแผนการดำเนินงานสหราชอาณาจักร-ไทย ฉบับที่ 2 (UK-TH Workplan 2.0) เพื่อระบุกิจกรรมสำคัญและสาขาความร่วมมือที่สองฝ่ายประสงค์จะดำเนินการร่วมกันเพื่อผลักดันการเป็นหุ้นส่วนทางการค้าที่แน่นแฟ้น (ETP) ให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมบนพื้นฐานการได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย โดยระบุถึง กิจกรรมและสาขาความร่วมมือที่สองฝ่ายจะดำเนินการร่วมกันภายใต้กรอบ JETCO ในช่วง 2 ปี เช่น (1) ความร่วมมือด้านการค้า ประกอบด้วยการประชุมหารือความร่วมมือทางการค้าและการสนับสนุนการขยายกิจกรรมส่งเสริมการค้าระหว่างกัน (2) ยานยนต์ การประชุมเชิงปฏิบัติการด้านเทคนิคเพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมืออย่างต่อเนื่องในด้านมาตรฐานและข้อกำหนดทางเทคนิคด้านยานยนต์ (3) ดิจิทัล เช่น สานต่อความร่วมมือและโครงการด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีที่มีอยู่ผ่านการดำเนินงานของคณะทำงานร่วม โครงการนำร่องการค้าดิจิทัล และกิจกรรมจับคู่ธุรกิจดิจิทัล/เทคโนโลยีระหว่างเอกชนของไทยและสหราชอาณาจักร (4) มาตรฐาน การจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันมาตรฐานของสหราชอาณาจักรและสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (5) เกษตร อาหาร และเครื่องดื่ม เช่น การประชุมหารือด้านการเกษตร การประชุมเชิงปฏิบัติการและการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาความร่วมมือด้านความปลอดภัยทางอาหาร และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้า (6) การลงทุน เช่น การประชุมหารือเพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการลงทุน และ (7) การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ เช่น การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อแบ่งปันประสบการณ์และข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายและมาตรการที่ส่งเสริมและอำนวยความสะดวกในการมีส่วนร่วมของ SMEs ในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ +ผลที่คาดว่าจะได้รับ +ร่างเอกสารฯ ทั้ง 2 ฉบับ จะช่วยสนับสนุนการขับเคลื่อนความร่วมมือภายใต้กรอบคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจและการค้า (Joint Economic and Trade Committee: JETCO) ไทย-สหราชอาณาจักร โดยแสดงถึงความมุ่งมั่นจากระดับนโยบายของสองฝ่ายในการส่งเสริมและยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้า และการลงทุนให้เป็นไปอย่างแน่นแฟ้นและใกล้ชิดยิ่งขึ้น ผ่านการกำหนดกิจกรรมและรูปแบบความร่วมมือที่ต่อยอดจากแผนการดำเนินงานฯ ฉบับแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขายุทธศาสตร์สำคัญที่สองฝ่ายมีความสนใจร่วมกัน ซึ่งจะส่งเสริมศักยภาพที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ช่วยแก้ปัญหาและอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน และจะเป็นช่องทางสำคัญในการผลักดันไปสู่การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกันตามที่รัฐบาลของทั้งสองฝ่ายได้หารือกันไว้และเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลไทยในการใช้การทูตเศรษฐกิจเชิงรุกเพื่อเปิดประตูการค้า โดยจะช่วยสนับสนุนการนำไปสู่การยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจให้เป็นไปอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง ตอบสนองต่อความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของประเทศ รวมทั้งเป็นการวางรากฐานเพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างกันในอนาคต +20. เรื่อง ร่างความตกลงระหว่างทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศกับคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เรื่อง การแต่งตั้งคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เป็น International Atomic Energy Agency Collaborating Centre - Anchor Centre +คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในการจัดทำร่างความตกลงระหว่างทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศกับคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เรื่อง การแต่งตั้งคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เป็น International Atomic Energy Agency Collaborating Centre - Anchor Centre ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างความตกลงฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ขอให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมหารือร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก รวมทั้งเห็นชอบมอบหมายให้คณบดีคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลเป็นผู้แทนในการลงนามร่าง +ความตกลงดังกล่าว ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ +สาระสำคัญ +1. โครงการ Rays of Hope เป็นโครงการเรือธง (Flagship) ของ IAEA เพื่อสนับสนุนประเทศสมาชิกในการจัดตั้งหรือขยายขีดความสามารถของประเทศสมาชิกในการใช้เทคนิคทางนิวเคลียร์อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อการพัฒนาสุขภาพของมนุษย์ในกรอบ “เวชศาสตร์รังสีวิทยาต่อต้านมะเร็ง” โดยจะใช้ประสบการณ์ของ IAEA และการจัดตั้งพันธมิตรกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อยกระดับการเข้าถึงเวชศาสตร์การฉายรังสี โดย IAEA จะพิจารณาสนับสนุนประเทศสมาชิกในการจัดตั้งศูนย์มะเร็งแห่งแรก หรือปรับปรุงศูนย์มะเร็งในประเทศสมาชิกด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและขีดความสามารถที่มีอยู่ +ภายใต้โครงการดังกล่าว IAEA ได้มีการจัดตั้ง Anchor Centre ซึ่งเป็นการรับรองสถาบันทางการแพทย์ของประเทศสมาชิก เพื่อใช้เป็นศูนย์การเรียนรู้ระดับภูมิภาคในการศึกษา อบรม และดูงานทางด้านรังสีวินิจฉัย รังสีรักษา เวชศาสตร์นิวเคลียร์และฟิสิกส์การแพทย์ให้แก่ประเทศสมาชิกที่มีความสนใจโดย Anchor Centre จะต้องมีส่วนร่วมในการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการดูแลสุขภาพในประเทศเป้าหมายระดับภูมิภาคที่เลือก ทั้งนี้ รูปแบบกิจกรรมของ Anchor Centre จะกำหนดภายใต้ความตกลงระหว่าง Anchor Centre และ IAEA +2. ร่างความตกลงระหว่าง IAEA กับคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เรื่อง การแต่งตั้งคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เป็น IAEA Collaborating Centre - Anchor Centre เป็นการกำหนดกรอบความร่วมมือที่ไม่ผูกขาดระหว่างคู่สัญญา ในด้านการเสริมสร้างศักยภาพและระบบสุขภาพในรูปแบบ Anchor Centre โดยคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะ Anchor Centre จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการให้ความรู้ด้านการแพทย์รังสี สาขาการถ่ายภาพมะเร็ง (รังสีวิทยาและเวชศาสตร์นิวเคลียร์) รังสีวิทยามะเร็ง และฟิสิกส์การแพทย์ แก่ประเทศสมาชิกของ IAEA ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศสมาชิกในภูมิภาคอื่น ตามแผนงานที่เป็นส่วนหนึ่งของร่างความตกลงฉบับนี้และการรายงานผลการดำเนินงานให้ IAEA ทราบ โดยมีกิจกรรมภายใต้แผนงานครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ เช่น +- การฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย หรือแพทย์ประจำบ้านตามคำแนะนำของ IAEA ในสาขาความเชี่ยวชาญของ Anchor Centre +- การจัดหาผู้เซี่ยวชาญด้านรังสีวิทยา เวชศาสตร์นิวเคลียร์ และฟิสิกส์การแพทย์ให้กับ IAEA +- การให้คำแนะนำทางเทคนิคแก่ IAEA และประเทศสมาชิกเกี่ยวกับการสร้างขีดความสามารถในการประยุกต์ใช้รังสีวิทยา เวชศาสตร์นิวเคลียร์ และมะเร็งวิทยารังสีทางคลินิก +- การสนับสนุนการจัดประชุมและการฝึกอบรมของ IAEA ในสาขารังสีวิทยา เวชศาสตร์นิวเคลียร์ และฟิสิกส์การแพทย์ +- การสนับสนุนกิจกรรมของ IAEA ในการปรับปรุงคุณภาพในสาขารังสีรักษา +- การเสริมสร้างศักยภาพที่เกี่ยวข้อง +ประโยชน์และผลกระทบ +ร่างความตกลงดังกล่าวเป็นโอกาสสำคัญอย่างยิ่งในการที่ประเทศไทยจะได้ทำงานร่วมกับ IAEA ในการพัฒนางาน การแลกเปลี่ยน เรียนรู้ และการวิจัย รวมถึงการสร้างนวัตกรรมด้านรังสีทางการแพทย์ ได้แก่ รังสีวินิจฉัย รังสีรักษา เวชศาสตร์นิวเคลียร์และฟิสิกส์การแพทย์ ในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งให้กับทั้งประเทศไทยและประเทศสมาชิกของ IAEA อีกทั้ง มีโอกาสที่ IAEA จะให้การสนับสนุนผู้เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยในการพัฒนางานด้านรังสีทางการแพทย์ให้แก่ประเทศไทยอย่างใกล้ชิดต่อไป ทั้งนี้ การรับรองคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เป็น Anchor Centre ภายใต้โครงการเรือธงด้านการรักษามะเร็ง (Flagship cancer initiative; Rays of Hope Anchor Centre) ของ IAEA ถือเป็นการจัดตั้งศูนย์แห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ +​ +แต่งตั้ง +21. เรื่อง การมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง +คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 จำนวน 2 ราย ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ  ดังนี้ +1. นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ +2. นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล +ทั้งนี้  ตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2567 เป็นต้นไป +22. เรื่อง แต่งตั้งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย +คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้ง นายวีริศ อัมระปาล ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย +ทั้งนี้  ตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2567 เป็นต้นไป +23. คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่  313/2567 เรื่อง  มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี +คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่  313/2567 เรื่อง  มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี +ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี                 ตามประกาศลงวันที่ 16 สิงหาคม 2567 และพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่        3 กันยายน 2567  นั้น +อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 10 และมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 11 (2) และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 7)               พ.ศ. 2550 และมาตรา 90 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการมอบอำนาจ พ.ศ. 2550 จึงมีคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีกำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี และให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี และกำกับดูแลแทนนายกรัฐมนตรี สำหรับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานของรัฐ ตามลำดับ ดังต่อไปนี้ +ส่วนที่ 1  นิยาม +ในคำสั่งนี้ +“กำกับการบริหารราชการ” หมายความว่า  กำกับโดยทั่วไปซึ่งการบริหารราชการแผ่นดินของส่วนราชการเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและนโยบายของคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี มีอำนาจสั่งให้ +ส่วนราชการชี้แจงแสดงความคิดเห็นหรือรายงานเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการหรือการปฏิบัติงาน สั่งสอบสวนข้อเท็จจริง ตลอดจนอนุมัติให้นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี และอนุมัติตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 6 กันยายน 2566 เกี่ยวกับ +การมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีที่ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีอนุญาตหรืออนุมัติเรื่องต่าง ๆ +ของส่วนราชการในกำกับการบริหารราชการไปก่อนได้ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีทราบ +“สั่งและปฏิบัติราชการ” หมายความว่า สั่ง อนุญาต หรืออนุมัติให้ส่วนราชการ หรือข้าราชการหรือผู้ปฏิบัติงานในส่วนราชการ ปฏิบัติราชการหรือดำเนินการใด ๆ ได้ตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ประกาศ คำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรี ในฐานะผู้บังคับบัญชา รัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง +“กำกับดูแล”  หมายความว่า กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามกฎหมาย และให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชนหรือหน่วยงานของรัฐ นโยบายของรัฐบาล และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการสั่งให้รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชนหรือหน่วยงานของรัฐชี้แจง แสดงความคิดเห็น ทำรายงาน หรือยับยั้งการกระทำของรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชนหรือหน่วยงานของรัฐที่ขัดต่อวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือหน่วยงานของรัฐ นโยบายของรัฐบาลหรือมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินการ +ส่วนที่ 2 +1.    รองนายกรัฐมนตรี  (นายภูมิธรรม   เวชยชัย) +1.1  การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้ +1.1.1      กระทรวงกลาโหม +1.1.2      กระทรวงยุติธรรม +1.1.3      สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา +1.1.4      สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ +1.1.5      สำนักงานราชบัณฑิตยสภา (รวมทั้งราชการของราชบัณฑิตยสภา) +1.2   การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการและสั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี  ดังนี้ +1.2.1      สำนักงานตำรวจแห่งชาติ +1.2.2      สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ +1.2.3      สำนักข่าวกรองแห่งชาติ +1.2.4      สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน +1.2.5      สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ +1.2.6      ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ +1.3  ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการและลงนามในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี +ที่เกี่ยวข้องกับการมีพระบรมราชโองการในเรื่องตามข้อ 1.1 ถึงข้อ 1.2 ยกเว้น +1.3.1      เรื่องที่เกี่ยวกับกฎหมาย +1.3.2      การสถาปนาพระอิสริยยศ อิสริยศักดิ์ สมณศักดิ์ +1.3.3        การแต่งตั้ง ในกรณีการแต่งตั้งประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ข้าราชการตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงและกรม เอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศ กงสุล และกรรมการที่มีตำแหน่งหน้าที่สำคัญ +1.3.4      การพระราชทานยศทหาร ตำรวจ ชั้นนายพล +1.3.5      การพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่พระบรมวงศานุวงศ์ และการพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ประจำปี +1.3.6        การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตหรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการประกาศใช้ความตกลงระหว่างประเทศ +1.3.7        เรื่องสำคัญที่เคยมีประเพณีปฏิบัติให้เสนอนายกรัฐมนตรีลงนาม +ส่วนที่ 3 +2.    รองนายกรัฐมนตรี  (นายสุริยะ  จึงรุ่งเรืองกิจ) +2.1  การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้ +2.1.1      กระทรวงการต่างประเทศ +2.1.2      กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา +2.1.3      กระทรวงคมนาคม +2.1.4      กระทรวงวัฒนธรรม +2.1.5      สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี +2.2   การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการและสั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี  ดังนี้ +2.2.1      สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน +2.2.2      สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ +2.3   การมอบหมายให้กำกับดูแลองค์การมหาชนและหน่วยงานของรัฐ ดังนี้ +2.3.1      สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) +2.3.2      สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) +2.4  การดำเนินคดีปกครอง รวมทั้งลงนามมอบอำนาจให้พนักงานอัยการดำเนินคดีปกครองกรณีที่มีการฟ้องนายกรัฐมนตรี +2.5 ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการและลงนามในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี +ที่เกี่ยวข้องกับการมีพระบรมราชโองการในเรื่องตามข้อ 2.1 ถึงข้อ 2.3 ยกเว้น การดำเนินการตามกรณี +ในข้อ 1.3.1 ถึงข้อ 1.3.7 +ส่วนที่ 4 +3.   รองนายกรัฐมนตรี  (นายอนุทิน  ชาญวีรกูล) +3.1   การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้ +3.1.1      กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม +3.1.2      กระทรวงมหาดไทย +3.1.3      กระทรวงแรงงาน +3.1.4      กระทรวงศึกษาธิการ +3.2   การมอบหมายให้กำกับดูแลองค์การมหาชนและหน่วยงานของรัฐ ดังนี้ +3.2.1      สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) +3.3  ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการและลงนามในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี +ที่เกี่ยวข้องกับการมีพระบรมราชโองการในเรื่องตามข้อ 3.1 ถึงข้อ 3.2 ยกเว้น การดำเนินการตามกรณี +ในข้อ 1.3.1 ถึงข้อ 1.3.7 +ส่วนที่ 5 +4.   รองนายกรัฐมนตรี  (นายพีระพันธุ์  สาลีรัฐวิภาค) +4.1    การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้ +4.1.1      กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ +4.1.2      กระทรวงพลังงาน +4.1.3      กระทรวงอุตสาหกรรม +4.2    ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการและลงนามในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการมีพระบรมราชโองการในเรื่องตามข้อ 4.1 ยกเว้น การดำเนินการตามกรณีในข้อ 1.3.1 +ถึงข้อ 1.3.7 +ส่วนที่ 6 +5.  รองนายกรัฐมนตรี  (นายพิชัย  ชุณหวชิร) +5.1   การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้ +5.1.1      กระทรวงการคลัง +5.1.2      กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ +5.1.3      กระทรวงพาณิชย์ +5.1.4      สำนักงบประมาณ (ยกเว้นที่เกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของนายกรัฐมนตรี +ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ) +5.2   การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการและสั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี  ดังนี้ +5.2.1      สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ +5.2.2      สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน +5.3   การมอบหมายให้กำกับดูแลองค์การมหาชนและหน่วยงานของรัฐ ดังนี้                               5.3.1       สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก +5.4    ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการและลงนามในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการมีพระบรมราชโองการในเรื่องตามข้อ 5.1 ถึงข้อ 5.3 ยกเว้น การดำเนินการตามกรณีในข้อ 1.3.1 ถึงข้อ 1.3.7 +ส่วนที่ 7 +6.   รองนายกรัฐมนตรี  (นายประเสริฐ  จันทรรวงทอง) +6.1    การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้ +6.1.1      กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม +6.1.2      กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม +6.1.3      กระทรวงสาธารณสุข +6.1.4      กรมประชาสัมพันธ์ +6.1.5      สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค +6.1.6      สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง +6.2   การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการและสั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี  ดังนี้ +6.2.1      สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ +6.2.2      สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ +6.3    การมอบหมายให้กำกับดูแลองค์การมหาชนและหน่วยงานของรัฐ ดังนี้ +6.3.1      สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ +6.3.2      สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) +6.3.3        สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ +6.3.4        สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) +6.3.5        สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) +6.3.6        สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม +6.3.7        สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) +6.3.8        สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม +6.4   ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการและลงนามในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี +ที่เกี่ยวข้องกับการมีพระบรมราชโองการในเรื่องตามข้อ 6.1 ถึงข้อ 6.3 ยกเว้นการดำเนินการตามกรณี +ในข้อ 1.3.1 ถึงข้อ 1.3.7 +ส่วนที่ 8 +7.  รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายชูศักดิ์  ศิรินิล) +7.1     การมอบหมายและมอบอำนาจให้สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้ +7.1.1      สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี +7.1.2      สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี +7.1.3      สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี +7.1.4      สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา +7.1.5      สำนักงบประมาณ +7.1.6      สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ +7.1.7      สำนักงานราชบัณฑิตยสภา (รวมทั้งราชการของราชบัณฑิตยสภา) +ส่วนที่ 9 +8.  รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  (นางสาวจิราพร  สินธุไพร) +8.1   การมอบหมายและมอบอำนาจให้สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี  ดังนี้ +8.1.1      กรมประชาสัมพันธ์ +8.1.2      สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค +8.1.3       สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง +8.2   การมอบหมายให้กำกับรัฐวิสาหกิจ ดังนี้ +8.2.1      บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) +8.3  การมอบหมายให้กำกับดูแลองค์การมหาชนและหน่วยงานของรัฐ ดังนี้ +8.3.1      สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ +ส่วนที่ 10 +9.  รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับการบริหารราชการส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือหน่วยงานของรัฐแทนนายกรัฐมนตรี ให้มีอำนาจให้ความเห็นชอบและลงนามในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี หรือประกาศเกี่ยวกับเรื่องของหน่วยงานนั้น ๆ  ดังนี้ +9.1      การแต่งตั้งบุคคลหรือกรรมการในหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจนั้น +9.2      การขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่ชาวต่างประเทศ ยกเว้น +เป็นเรื่องระดับผู้นำรัฐบาลหรือประมุขของรัฐต่างประเทศ +9.3      การให้ความเห็นชอบในการรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์หรือเหรียญตราจากต่างประเทศ +9.4      การประกาศภาพเครื่องหมายราชการ +10.    รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ให้มีอำนาจปฏิบัติแทนนายกรัฐมนตรีในการดำเนินการทางวินัยของข้าราชการในหน่วยงานที่สั่งและปฏิบัติราชการ +11.    ให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีในส่วนราชการใด เป็นประธาน อ.ก.พ. ทำหน้าที่ อ.ก.พ. กระทรวงของส่วนราชการนั้นด้วย +12.    ราชการที่รองนายกรัฐมนตรีได้รับมอบหมายและมอบอำนาจตามคำสั่งนี้ หากรองนายกรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ และอาจมีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนเป็นส่วนรวม หรือต้องสั่งการแก่หลายส่วนราชการหรือหลายรัฐวิสาหกิจแต่บางส่วนมิได้อยู่ในอำนาจหน้าที่กำกับการบริหารราชการของรองนายกรัฐมนตรีผู้หนึ่งผู้ใดโดยตรง ให้นำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อวินิจฉัยสั่งการ +13. เมื่อรองนายกรัฐมนตรีได้ดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายและมอบอำนาจแล้วให้รายงานนายกรัฐมนตรีทราบเป็นระยะตามความเหมาะสม +14.    ในการปฏิบัติหน้าที่รองนายกรัฐมนตรีตามที่ได้รับมอบหมายและมอบอำนาจตามคำสั่งนี้ ให้รองนายกรัฐมนตรีบริหารราชการโดยมุ่งมั่นจะสร้างความสามัคคี ปรองดอง ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย +ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือกันในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองการปกครองของประเทศให้ก้าวหน้าเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน +ทั้งนี้   ตั้งแต่วันที่  16  กันยายน  พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป +24. เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่  314/2567 เรื่อง  มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี +คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่  314/2567 เรื่อง  มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี +ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี                    ตามประกาศลงวันที่ 16 สิงหาคม 2567 และพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่   3 กันยายน 2567  นั้น +อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 10 และมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) +พ.ศ. 2545 มาตรา 11 และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 +และมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2550 ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วย +การมอบอำนาจ พ.ศ. 2550 จึงมีคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี +ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี +ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี  ดังนี้ +ส่วนที่ 1 +1.  รองนายกรัฐมนตรี  (นายภูมิธรรม  เวชยชัย) +1.1  การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย  ดังนี้ +1.1.1      สภาความมั่นคงแห่งชาติ +1.1.2      คณะกรรมการคดีพิเศษ +1.1.3      คณะกรรมการกฤษฎีกา +1.1.4      คณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ +1.1.5      คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด +1.2  การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย  ดังนี้ +1.2.1      คณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร +1.2.2      คณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน +1.2.3      คณะกรรมการพิจารณาการเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ +1.2.4      คณะกรรมการกำลังพลสำรอง +1.2.5      คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ +1.2.6      คณะกรรมการนโยบายการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล +1.3  การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี  ดังนี้ +1.3.1      คณะกรรมการนโยบายและอำนวยการพัฒนาเพื่อเสริมความมั่นคงของชาติ +1.3.2       คณะกรรมการพิจารณาการเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ประจำปี +1.3.3      คณะกรรมการนโยบายรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ +1.3.4       คณะกรรมการพัฒนาระบบการติดตามคนหาย และการพิสูจน์คนนิรนามและศพนิรนาม +1.4  การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย  ดังนี้ +1.4.1      รองประธานกรรมการ คนที่ 3 ในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ +1.4.2        กรรมการในคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ +1.5  การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี  ดังนี้ +1.5.1      กรรมการในคณะกรรมการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค +ส่วนที่ 2 +2.  รองนายกรัฐมนตรี  (นายสุริยะ  จึงรุ่งเรืองกิจ) +2.1     การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย  ดังนี้ +2.1.1      คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ +2.1.2      คณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก +2.1.3      คณะกรรมการส่งเสริมการพาณิชยนาวี +2.1.4      คณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ +2.1.5      คณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ +2.2    การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้ +2.2.1      คณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ +2.2.2      คณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ +2.3     การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ +ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย  ดังนี้ +2.3.1       คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น +2.3.2      คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ +2.3.3      คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน +2.3.4      คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ +2.3.5      คณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรม +2.3.6      คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดการเทียบตำแหน่ง +2.3.7      คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน +2.3.8      คณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย +2.3.9      คณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ +2.3.10    คณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ +2.4     การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ +ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี  ดังนี้ +2.4.1      คณะกรรมการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค +2.4.2      คณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติ +2.4.3      คณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ +2.4.4      คณะกรรมการเร่งรัดการปฏิบัติราชการ +2.4.5      คณะกรรมการการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ +2.4.6      คณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน +2.4.7      คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ +2.4.8      คณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย +สำนักนายกรัฐมนตรี +.                                   2.4.9      คณะกรรมการด้านการคุ้มครองการลงทุนระหว่างประเทศ +2.5   การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย  ดังนี้ +2.5.1      รองประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ +2.5.2      รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ +2.5.3      รองประธานกรรมการในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนา +จังหวัดชายแดนภาคใต้ +2.5.4      รองประธานกรรมการในคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ +2.5.5        รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถ +ในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย +2.5.6      อุปนายกสภาลูกเสือไทย +2.5.7       กรรมการในคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ +2.6     การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ +ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี  ดังนี้ +2.6.1      รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ +2.6.2      รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ +2.6.3      รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ +2.6.4       รองประธานกรรมการ คนที่ 1 ในคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สิน +ทางปัญญาแห่งชาติ +2.6.5      รองประธานกรรมการคนที่ 1 ในคณะกรรมการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศ +2.6.6      กรรมการในคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษถนนราชดำเนิน +ส่วนที่ 3 +3.  รองนายกรัฐมนตรี  (นายอนุทิน  ชาญวีรกูล) +3.1   การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้ +3.1.1      สภานายกสภาลูกเสือไทย +3.1.2      คณะกรรมการพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ +3.1.3      คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย +3.2     การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ +ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย  ดังนี้ +3.2.1      คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ +3.2.2      คณะกรรมการนโยบายการผังเมืองแห่งชาติ +3.2.3      คณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา +3.3    การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ +ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี  ดังนี้ +3.3.1      คณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ +3.3.2      คณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติ +3.3.3      คณะกรรมการกำหนดนโยบายและกำกับดูแลกิจการประปาแห่งชาติ +3.3.4      คณะกรรมการบริหารระบบการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ +3.3.5      คณะกรรมการภูมิสารสนเทศแห่งชาติ +3.3.6      คณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง +3.3.7      คณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ +3.3.8      คณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ +3.3.9      คณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแห่งชาติ +3.3.10     คณะกรรมการพัฒนาพื้นที่โดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ +3.4     การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ +ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย  ดังนี้ +3.4.1      รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ +3.4.2      รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ +3.4.3      รองประธานกรรมการในคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก +3.4.4        รองประธานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ +3.4.5      กรรมการในคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ +3.5     การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ +ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี  ดังนี้ +3.5.1       กรรมการในคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน   ของประเทศ +3.5.2      กรรมการในคณะกรรมการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค +ส่วนที่ 4 +4.  รองนายกรัฐมนตรี  (นายพีระพันธุ์  สาลีรัฐวิภาค) +4.1     การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้ +4.1.1      คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ +4.1.2      คณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ +4.1.3      คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ +4.1.4      คณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ +4.1.5      คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ +4.2     การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้ +4.2.1      คณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ +4.3     การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ +ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย  ดังนี้ +4.3.1      คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน +4.3.2      คณะกรรมการการมาตรฐานแห่งชาติ +4.3.3      คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ +4.3.4      คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว +4.3.5      คณะกรรมการประสานและกำกับการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ +4.3.6      คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม +4.4    การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ +ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี  ดังนี้ +4.4.1      คณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถานภาพสตรีแห่งชาติ +4.4.2      คณะกรรมการนโยบายที่อยู่อาศัยแห่งชาติ +4.4.3      คณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ครอบครัวแห่งชาติ +4.4.4        คณะกรรมการป้องกันเจ้าหน้าที่ของรัฐมิให้เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ +4.4.5        คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม +4.5     การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ +ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย  ดังนี้ +4.5.1      รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ +4.5.2      รองประธานกรรมการในคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม +4.5.3      รองประธานกรรมการ คนที่ 1 ในคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ +4.5.4      กรรมการในคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ +4.6      การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี  ดังนี้ +4.6.1      รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ +4.6.2  กรรมการในคณะกรรมการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค +ส่วนที่ 5 +5.   รองนายกรัฐมนตรี  (นายพิชัย  ชุณหวชิร) +5.1     การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้ +5.1.1      คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ +5.1.2      คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ +5.1.3      คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน +5.1.4      คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน +5.1.5      คณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ +5.1.6      คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ +5.1.7      คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก +5.1.8      คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ +5.1.9      คณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ +สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย +5.2     การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้ +5.2.1      คณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ +5.2.2      คณะกรรมการว่าด้วยการประสานงานในการบังคับใช้กฎหมาย +เพื่อป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา +5.2.3      คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ +5.2.4      คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ +5.2.5      คณะกรรมการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศ +5.2.6      คณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ +5.3     การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ +ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย  ดังนี้ +5.3.1      คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร +5.3.2      คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน +5.4    การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ +ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี  ดังนี้ +5.4.1     คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร +5.4.2      คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ +5.4.3        คณะกรรมการบริหารสินเชื่อเกษตรแห่งชาติ +5.4.4      คณะกรรมการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ยากจน +5.4.5      คณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ +5.4.6      คณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษถนนราชดำเนิน +5.4.7      คณะกรรมการประสานการบริการด้านการลงทุน +5.4.8      คณะกรรมการสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน +โดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย +5.5     การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ +ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย  ดังนี้ +5.5.1      รองประธานกรรมการในคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ +5.5.2      กรรมการในคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ +5.6     การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ +ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี  ดังนี้ +5.6.1       รองประธานกรรมการ คนที่ 1 ในคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน +5.6.2      รองประธานกรรมการในคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ +5.6.3      กรรมการในคณะกรรมการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค +ส่วนที่ 6 +6.  รองนายกรัฐมนตรี  (นายประเสริฐ  จันทรรวงทอง) +6.1     การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย  ดังนี้ +6.1.1      คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ +6.1.2      คณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ +6.1.3      คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม +6.1.4      คณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น +6.1.5      คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ +6.1.6      คณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ +6.1.7      คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล +6.1.8      คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ +6.1.9      คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ +6.1.10    คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ +6.2      การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้ +6.2.1      คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน +6.2.2      คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ +6.2.3      คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ +6.2.4      คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ +6.3     การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ +ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย  ดังนี้ +6.3.1      คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ +6.3.2      คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ +6.3.3      คณะกรรมการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด +6.3.4      คณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติ +6.3.5      คณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ +6.3.6      คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ +6.3.7      คณะกรรมการอาหารแห่งชาติ +6.3.8      คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ +6.3.9      คณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเล +และชายฝั่งแห่งชาติ +6.3.10      คณะกรรมการนโยบายป่าชุมชน +6.4    การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ +ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี  ดังนี้ +6.4.1      คณะกรรมการอำนวยการ หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งชาติ +6.4.2      คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ +6.4.3      คณะกรรมการนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ +6.4.4      คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ +6.4.5      คณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ +6.4.6      คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก +6.4.7      คณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า +6.5     การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย  ดังนี้ +6.5.1      รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษ +ภาคตะวันออก +6.5.2      กรรมการในคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ +6.6      การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ +ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี  ดังนี้ +6.6.1      รองประธานกรรมการในคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ +6.6.2      รองประธานกรรมการ คนที่ 2 ในคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สิน +ทางปัญญาแห่งชาติ +6.6.3      กรรมการในคณะกรรมการพิจารณาการเสนอขอพระราชทาน +เครื่องราชอิสริยาภรณ์ประจำปี +6.6.4        กรรมการในคณะกรรมการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค +ส่วนที่ 7 +7.     รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายชูศักดิ์  ศิรินิล) +7.1  การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ +ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้ +7.1.1      คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ +7.2    การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ +ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้ +7.2.1     คณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ +7.3     การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ +ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย  ดังนี้ +7.3.1       รองประธานกรรมการในคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ +7.3.2      รองประธานกรรมการในคณะกรรมการการศึกษาพระปริยัติธรรม +7.3.3      กรรมการในคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ +7.3.4      กรรมการในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ +7.3.5     กรรมการในคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก +7.3.6     กรรมการในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด +7.4      การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ +ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี  ดังนี้ +7.4.1      รองประธานกรรมการในคณะกรรมการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ +7.4.2      รองประธานกรรมการในคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ +7.4.3      รองประธานกรรมการในคณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มี +โฉนดชุมชน +7.4.4     รองประธานกรรมการ คนที่ 2 ในคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน +7.4.5     รองประธานกรรมการ คนที่ 2 ในคณะกรรมการบริหารสินเชื่อเกษตรแห่งชาติ +7.4.6     กรรมการในคณะกรรมการประสานการบริการด้านการลงทุน +7.4.7     กรรมการในคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ +ส่วนที่ 8 +8.  รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  (นางสาวจิราพร  สินธุไพร) +8.1     การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้ +8.1.1      คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค +8.2    การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ +ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย  ดังนี้ +8.2.1      กรรมการในคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน +8.3     การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ +ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี  ดังนี้ +8.3.1      รองประธานกรรมการในคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ +8.3.2      รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ +8.3.3      รองประธานกรรมการ คนที่ 1 ในคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม +8.3.4      รองประธานกรรมการ คนที่ 3 ในคณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีแห่งชาติ +ส่วนที่ 9 +9.  เมื่อรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายและมอบอำนาจแล้ว ให้รายงานนายกรัฐมนตรีทราบทุกสามสิบวัน +10.  ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีในคำสั่งนี้ พิจารณาความจำเป็นและความเหมาะสมในการยุบเลิกคณะกรรมการดังกล่าว หากเห็นว่าหมดความจำเป็นหรือซ้ำซ้อนกับภารกิจของหน่วยงานอื่น หรืออาจยุบรวมคณะกรรมการชุดต่าง ๆ เข้าด้วยกัน หรือปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการดังกล่าว โดยการยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง หรือจัดทำระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีขึ้นใหม่ โดยยึดหลักการมีผู้รับผิดชอบภารกิจอย่างชัดแจ้ง การไม่ปฏิบัติงานซ้ำซ้อนกัน และการบูรณาการภารกิจให้เกิดการประสานและสอดคล้องรองรับกัน แล้วเสนอผลการพิจารณา และข้อเสนอแนะ ตลอดจนร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่ขอแก้ไขเพิ่มเติมหรือจัดทำขึ้นใหม่ต่อคณะรัฐมนตรี ในกรณีที่เห็นควรให้คงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีนั้น ๆ ไว้ตามเดิมให้รายงานเหตุผลและความจำเป็นด้วยเช่นกัน +11.  ในส่วนการแต่งตั้งให้รัฐมนตรีคนใดดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการตามกฎหมายหรือระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ให้เป็นไป +ตามกฎหมายหรือระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการนั้น +ทั้งนี้   ตั้งแต่วันที่  16  กันยายน พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป +25. เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 315/2567 เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค +คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 315/2567 เรื่อง  มอบหมายให้ +รองนายกรัฐมนตรี กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค +ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีตามประกาศลงวันที่ 16 สิงหาคม 2567 และพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 3 กันยายน 2567  นั้น +อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน +พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2550 ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. 2565 ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค พ.ศ. 2547 ประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบ +บูรณาการ เรื่อง การจัดตั้งภาค กลุ่มจังหวัด และกำหนดจังหวัดที่เป็นศูนย์ปฏิบัติการของกลุ่มจังหวัด ลงวันที่ 30 พฤษภาคม 2567 และคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 221/2561 เรื่อง กำหนดพื้นที่การตรวจราชการของผู้ตรวจราชการ ลงวันที่ 10 กันยายน 2561 จึงมีคำสั่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ดังต่อไปนี้ +1.  พื้นที่ +1.1  รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม  เวชยชัย) กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการ ดังนี้ +1) เขตตรวจราชการที่ 15 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดลำปาง และจังหวัดลำพูน +2) เขตตรวจราชการที่ 16 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ประกอบด้วย จังหวัดเชียงราย จังหวัดน่าน จังหวัดพะเยา และจังหวัดแพร่ +3) เขตตรวจราชการที่ 18 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2 ประกอบด้วย จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดพิจิตร และจังหวัดอุทัยธานี +1.2  รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ  จึงรุ่งเรืองกิจ) กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการ ดังนี้ +1) เขตตรวจราชการที่ 10 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัด +ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 ประกอบด้วย จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดเลย จังหวัดหนองคาย  จังหวัดหนองบัวลำภู และจังหวัดอุดรธานี +2) เขตตรวจราชการที่ 11 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัด +ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 ประกอบด้วย จังหวัดนครพนม จังหวัดมุกดาหาร และจังหวัดสกลนคร +3) เขตตรวจราชการที่ 17 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 ประกอบด้วย จังหวัดตาก จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดสุโขทัย และจังหวัดอุตรดิตถ์ +1.3  รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน  ชาญวีรกูล) กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการ ดังนี้ +1) เขตตรวจราชการที่ 4 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 ประกอบด้วย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดสมุทรสงครามและจังหวัดสมุทรสาคร +2) เขตตรวจราชการที่ 6 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่ง +อันดามัน ประกอบด้วย จังหวัดกระบี่ จังหวัดตรัง จังหวัดพังงา จังหวัดภูเก็ต จังหวัดระนอง และจังหวัดสตูล +3) เขตตรวจราชการที่ 7 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคใต้ชายแดน ประกอบด้วย จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา +1.4  รองนายกรัฐมนตรี (นายพีระพันธุ์  สาลีรัฐวิภาค) กำกับและติดตาม +การปฏิบัติราชการ ดังนี้ +1) เขตตรวจราชการที่ 1 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัด +ภาคกลางตอนบน ประกอบด้วย จังหวัดชัยนาท จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดลพบุรี จังหวัดสระบุรี จังหวัดสิงห์บุรี และจังหวัดอ่างทอง +2) เขตตรวจราชการที่ 3 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 ประกอบด้วย จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดราชบุรี และจังหวัดสุพรรณบุรี +3) เขตตรวจราชการที่ 5 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่ง +อ่าวไทย ประกอบด้วย จังหวัดชุมพร จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดพัทลุง จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดสงขลา +1.5  รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย  ชุณหวชิร) กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการ ดังนี้ +1) เขตตรวจราชการที่ 2 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัด +ภาคกลางปริมณฑล ประกอบด้วย จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี จังหวัดนครปฐม และจังหวัดสมุทรปราการ +2) เขตตรวจราชการที่ 8 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัด +ภาคตะวันออก 1 ประกอบด้วย จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดชลบุรี และจังหวัดระยอง +3) เขตตรวจราชการที่ 9 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัด +ภาคตะวันออก 2 ประกอบด้วย จังหวัดจันทบุรี จังหวัดตราด จังหวัดนครนายก จังหวัดปราจีนบุรี +และจังหวัดสระแก้ว +1.6  รองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ  จันทรรวงทอง) กำกับและติดตาม +การปฏิบัติราชการ ดังนี้ +1) เขตตรวจราชการที่ 12 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัด +ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง ประกอบด้วย จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดมหาสารคาม และจังหวัดร้อยเอ็ด +2) เขตตรวจราชการที่ 13 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัด +ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 ประกอบด้วย จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดสุรินทร์ +3) เขตตรวจราชการที่ 14 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัด +ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 ประกอบด้วย จังหวัดยโสธร จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดอำนาจเจริญ +และจังหวัดอุบลราชธานี +2.  การกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคตามคำสั่งนี้ หมายถึง การตรวจราชการ +การขอให้เจ้าหน้าที่ของรัฐรายงานเหตุการณ์และผลการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี ยุทธศาสตร์ชาติ ยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัด และยุทธศาสตร์จังหวัด การประสานราชการเพื่อให้เกิดการบูรณาการยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัด และยุทธศาสตร์จังหวัด ไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม การเร่งรัด การติดตามผล การให้คำแนะนำช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ และการประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมถึงการตรวจสอบความถูกต้องในการดำเนินโครงการและการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ โดยให้คณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดมีส่วนร่วมในการตรวจสอบด้วย +3.  ให้รองนายกรัฐมนตรีรายงานปัญหาอุปสรรค แนวทางการแก้ไข ตลอดจนข้อเสนอแนะต่าง ๆ อันเนื่องจากการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในเขตตรวจราชการหรือพื้นที่ในความรับผิดชอบต่อนายกรัฐมนตรี +4.  ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจัดให้ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีประจำเขตตรวจราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นฝ่ายเลขานุการของรองนายกรัฐมนตรี ในกรณีที่รองนายกรัฐมนตรี +ติดภารกิจจำเป็นเร่งด่วน สามารถมอบหมายให้ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีประจำเขตตรวจราชการปฏิบัติหน้าที่แทนแล้วรายงานผลการปฏิบัติงานให้ทราบต่อไป +5.  ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ตรวจราชการกระทรวง และหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดที่เกี่ยวข้องเสนอข้อมูล อำนวยความสะดวก และให้ความร่วมมือในการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งนี้ด้วย +6.  ให้เบิกค่าใช้จ่ายในการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคของ +รองนายกรัฐมนตรี จากงบประมาณของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี หมวดเงินอุดหนุนทั่วไป โครงการเพิ่มขีดสมรรถนะในการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคของรองนายกรัฐมนตรี +ทั้งนี้   ตั้งแต่วันที่  16  กันยายน  พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป +26. เรื่อง  คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 320/2567 เรื่อง  มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีและมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักายกรัฐมนตรี +ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีในกรณีที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี +ไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง +คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 320/2567 เรื่อง  มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในกรณีที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง +ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีตามประกาศลงวันที่ 16 สิงหาคม 2567 และพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 3 กันยายน 2567  นั้น +อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 10 และมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) +พ.ศ. 2545 มาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม +โดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2550 มาตรา 11 มาตรา 12 มาตรา 41 มาตรา 42 มาตรา 48 และมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ประกอบกับ +มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่  17  กันยายน 2567 นายกรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จึงมีคำสั่ง +มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และมอบหมายและมอบอำนาจให้ +รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในกรณีที่ +รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง ดังต่อไปนี้ +ส่วนที่ 1 คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี +1. ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่อาจปฏิบัติราชการได้ คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี +เป็นผู้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี  ตามลำดับ  ดังนี้ +1.1    นายภูมิธรรม           เวชยชัย +1.2    นายสุริยะ               จึงรุ่งเรืองกิจ +1.3    นายอนุทิน              ชาญวีรกูล +1.4    นายพีระพันธุ์           สาลีรัฐวิภาค +1.5    นายพิชัย                ชุณหวชิร +1.6    นายประเสริฐ           จันทรรวงทอง +2. ในระหว่างการรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ผู้รักษาราชการแทนข้างต้น จะสั่งการใดเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลและการอนุมัติเงินงบประมาณอันอยู่ในอำนาจของนายกรัฐมนตรีได้ต้องได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีเสียก่อน +ส่วนที่  2  การมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี +ในกรณีที่รองนายกรัฐมนตรีท่านใดท่านหนึ่งไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้ให้รองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ตามลำดับ ดังนี้ +ลำดับที่ +รองนายกรัฐมนตรี +รองนายกรัฐมนตรีที่ปฏิบัติราชการแทนกันตามลำดับ +1 +นายภูมิธรรม      เวชยชัย +1. นายสุริยะ                  จึงรุ่งเรืองกิจ +2. นายอนุทิน                 ชาญวีรกูล +2 +นายสุริยะ         จึงรุ่งเรืองกิจ +1. นายอนุทิน                 ชาญวีรกูล +2. นายพีระพันธุ์              สาลีรัฐวิภาค +3 +นายอนุทิน        ชาญวีรกูล +1. นายพีระพันธุ์              สาลีรัฐวิภาค +2. นายพิชัย                   ชุณหวชิร +4 +นายพีระพันธุ์     สาลีรัฐวิภาค +1. นายพิชัย                   ชุณหวชิร +2. นายประเสริฐ              จันทรรวงทอง +5 +นายพิชัย          ชุณหวชิร +1. นายประเสริฐ              จันทรรวงทอง +2. นายภูมิธรรม               เวชยชัย +6 +นายประเสริฐ     จันทรรวงทอง +1. นายภูมิธรรม               เวชยชัย +2. นายสุริยะ                  จึงรุ่งเรืองกิจ +ส่วนที่ 3  การมอบหมายและมอบอำนาจให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการ +แทนนายกรัฐมนตรี +ในกรณีที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีท่านใดท่านหนึ่งไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้ +ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ตามลำดับ ดังนี้ +ลำดับที่ +รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี +รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี +ที่ปฏิบัติราชการแทนกัน +1 +นายชูศักดิ์        ศิรินิล +นางสาวจิราพร         สินธุไพร +2 +นางสาวจิราพร   สินธุไพร +นายชูศักดิ์               ศิรินิล +ทั้งนี้   ตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน  พ.ศ. 2567  เป็นต้นไป +​27. เรื่อง  คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 311/2567  เรื่อง  แต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร +คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 311/2567  เรื่อง  แต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร +เพื่อให้การดำเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสภาผู้แทนราษฎรและรัฐสภาเป็นไปอย่างมีระเบียบแบบแผนตามระบบรัฐสภา ตลอดจนการประสานงานกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกรัฐสภา และพรรคการเมือง ด้านนิติบัญญัติให้ดำเนินการไปอย่างราบรื่น ซึ่งจะเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสนับสนุน การดำเนินการของคณะรัฐมนตรีในการเสนอร่างกฎหมาย และดำเนินการอื่นที่เกี่ยวข้องกับงานด้านนิติบัญญัติ อันจะส่งผลให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเรียบร้อย จึงสมควรแต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความสามารถ และความเชี่ยวชาญเหมาะสม เพื่อทำหน้าที่ประสานงานระหว่างคณะรัฐมนตรีกับสภาผู้แทนราษฎรและรัฐสภา ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว +อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 (6) และ (9) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ประกอบกับมาตรา 184 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย +พุทธศักราช 2560 จึงแต่งตั้งคณะกรรมการในการบริหารราชการแผ่นดินที่เกี่ยวกับกิจการของสภา +ขึ้นคณะหนึ่ง เรียกว่าคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) โดยมีองค์ประกอบหน้าที่ +และอำนาจ ดังต่อไปนี้ +1.  องค์ประกอบ +1.1 +คณะที่ปรึกษา +(1) รองศาสตราจารย์ชูศักดิ์  ศิรินิล +ที่ปรึกษา/กรรมการ +(2) นางมนพร  เจริญศรี +ที่ปรึกษา/กรรมการ +(3) นายสมคิด  เชื้อคง +ที่ปรึกษา/กรรมการ +(4) นายบุญสิงห์  วรินทร์รักษ์ +ที่ปรึกษา/กรรมการ +1.2 +คณะกรรมการ +(1) นายวิสุทธิ์  ไชยณรุณ +ประธานกรรมการ +(2) นายครูมานิตย์  สังข์พุ่ม +รองประธานกรรมการ คนที่หนึ่ง +(3) นายโอชิษฐ์  เกียรติก้องชูชัย +รองประธานกรรมการ คนที่สอง +(4) นางสาวชนก  จันทาทอง +รองประธานกรรมการ คนที่สาม +(5) นายอาสพลธ์  สรรณ์ไตรภพ +รองประธานกรรมการ คนที่สี่ +(6) นางพิชชารัตน์  เลาหพงศ์ชนะ +รองประธานกรรมการ คนที่ห้า +(7) นายประมวล  พงศ์ถาวราเดช +รองประธานกรรมการ คนที่หก +(8) นายมนัสนันท์  หลีนวรัตน์ +กรรมการ +(9) นางสาวสกุณา  สาระนันท์ +กรรมการ +(10) นายวันนิวัติ  สมบูรณ์ +กรรมการ +(11) นายพลากร  พิมพะนิตย์ +กรรมการ +(12) นายวัชระพล  ขาวขำ +กรรมการ +(13) นางสาวประภาพร  ทองปากน้ำ +กรรมการ +(14) นางสาววิสาระดี  เตชะธีราวัฒน์ +กรรมการ +(15) นายชนินทร์  รุ่งธนเกียรติ +กรรมการ +(16) นางสาวขัตติยา  สวัสดิผล +กรรมการ +(17) นายวรวงศ์  วรปัญญา +กรรมการ +(18) นางสาวลิณธิภรณ์  วริณวัชรโรจน์ +กรรมการ +(19) นายอัครนันท์  กัณณ์กิตตินันท์ +กรรมการ +(20) นายจิรวัฒน์  ศิริพานิชย์ +กรรมการ +(21) นายรวี  เล็กอุทัย +กรรมการ +(22) นายศิรสิทธิ์  เลิศด้วยลาภ +กรรมการ +(23) นางสาวแนน  บุณย์ธิดา  สมชัย +กรรมการ +(24) นางสุขสมรวย  วันทนียกุล +กรรมการ +(25) นายอดิพงษ์  ฐิติพิทยา +กรรมการ +(26) นายธนา  กิจไพบูลย์ชัย +กรรมการ +(27) นายสังคม  แดงโชติ +กรรมการ +(28) นางสาวพิมพฤดา  ตันจรารักษ์ +กรรมการ +(29) นางสาวผกามาศ  เจริญพันธ์ +กรรมการ +(30) นายชลัฐ  รัชกิจประการ +กรรมการ +(31) นายกรวีร์  ปริศนานันทกุล +กรรมการ +(32) นายซาการียา  สะอิ +กรรมการ +(33) นายวิทยา  แก้วภราดัย +กรรมการ +(34) นายอัครเดช  วงษ์พิทักษ์โรจน์ +กรรมการ +(35) นายวิชัย  สุดสวาสดิ์ +กรรมการ +(36) นางสาวกานสินี  โอภาสรังสรรค์ +กรรมการ +(37) นายอนุชา  บูรพชัยศรี +กรรมการ +(38) นายร่มธรรม  ขำนุรักษ์ +กรรมการ +(39) นายกาญจน์  ตั้งปอง +กรรมการ +(40) นายพิทักษ์เดช  เดชเดโช +กรรมการ +(41) นายเสมอกัน  เที่ยงธรรม +กรรมการ +(42) นายอนุรักษ์  จุรีมาศ +กรรมการ +(43) นายซูการ์โน  มะทา +กรรมการ +(44) นายสมมุติ  เบ็ญจลักษณ์ +กรรมการ +(45) นายวรรณรัตน์  ชาญนุกูล +กรรมการ +(46) นางพิมพกาญจน์  พลสมัคร +กรรมการ +(47) นายศรัณย์  ทิมสุวรรณ +กรรมการและเลขานุการ +1.3 +ผู้แทนส่วนราชการ +(1) ผู้แทนสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี +กรรมการ +(2) ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา +กรรมการ +(3)   ผู้แทนสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร +กรรมการ +1.4 +ฝ่ายเลขานุการ +(1) ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ +ด้านประสานกิจการภายในประเทศ +สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี +กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ +(2) ผู้อำนวยการกองประสานงานการเมือง +สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี +กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ +(3) ผู้อำนวยการกลุ่มประสานงานการเมือง 1 +กองประสานงานการเมือง +สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี +กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ +(4) เจ้าหน้าที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี +ที่ได้รับมอบหมาย จำนวน 2 คน +ผู้ช่วยเลขานุการ +2. หน้าที่และอำนาจ +2.1 พิจารณาดำเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสภาผู้แทนราษฎรและรัฐสภา เพื่อให้สอดคล้องกับการบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเป็นไปด้วยความราบรื่นและเป็นไปอย่างมีระเบียบแบบแผนตามระบบรัฐสภา +2.2 ประสานงานกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกรัฐสภา และพรรคการเมือง +ในปัญหาต่างๆ ด้านนิติบัญญัติ และกิจการรัฐสภาอื่นๆ ทั้งการเสนอร่างกฎหมายและดำเนินการอื่นที่เกี่ยวข้องกับงานด้านนิติบัญญัติ และกิจการรัฐสภา ให้ดำเนินการไปอย่างราบรื่น +2.3  พิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรและการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อกำหนดแนวทางการทำงานและมีมติเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบหรือเห็นชอบแล้วแต่กรณี +ทั้งนี้ มติของคณะกรรมการต้องสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลหรือของนายกรัฐมนตรีหรือมติคณะรัฐมนตรี พร้อมแจ้งคณะรัฐมนตรี +2.4  ในระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎรและการประชุมร่วมกันของรัฐสภา คณะกรรมการสามารถพิจารณาวินิจฉัยที่จะเปลี่ยนแปลงมติของคณะกรรมการตามข้อ 2.3 ได้ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และความจำเป็น +2.5  ขอความร่วมมือส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ และผู้ที่เกี่ยวข้อง +เข้าชี้แจงข้อเท็จจริง และจัดส่งเอกสารข้อมูลให้แก่คณะกรรมการ +2.6  ให้ประธานกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อช่วยเหลือปฏิบัติงาน +ในเรื่องต่างๆ ของคณะกรรมการได้ตามความจำเป็น +2.7  ปฏิบัติงานอื่น ๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย +3.   องค์ประชุม +การประชุมคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่จึงจะเป็นองค์ประชุม +ในการนี้ ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานของคณะกรรมการ สำหรับการเบิกจ่ายเบี้ยประชุมให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุมกรรมการ +พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานให้เบิกจ่ายตามระเบียบทางราชการโดยให้เบิกจ่ายจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี +ทั้งนี้  ตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน  พ.ศ.  2567 เป็นต้นไป +***************************** + +ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/88096 \ No newline at end of file diff --git a/last_num.txt b/last_num.txt index 927584c3..7708f176 100644 --- a/last_num.txt +++ b/last_num.txt @@ -1 +1 @@ -88069 \ No newline at end of file +88104 \ No newline at end of file